10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024

หากไม่รู้ว่าจะดูหนังเรื่องไหนดีในมหกรรม The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 'กัลปพฤกษ์' แนะนำ 10 เรื่องที่ไม่ควรพลาด มีรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกเป็นเครื่องการันตี

ด้วยจำนวนหนังทั้งสั้นและยาวรวมจำนวนแล้วกว่า 100 เรื่อง ที่จะจัดฉายระหว่างวันที่ 7-17 พฤศจิกายน นี้อย่างต่อเนื่องในงาน 16th World Film Festival of Bangkok 2024 จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าหลายๆ คนคงเกิดอาการ ‘รักพี่เสียดายน้อง’ ถึงจะจองตั๋วแบบรัวๆ เดินทัวร์เข้าออกกันทุกโรงทุกวันทั้งวัน ก็ยังไม่สามารถตามทันแบบดูจนครบทุกเรื่องได้

‘กัลปพฤกษ์’ จึงขอรวบรวมเอาหนังนานาชาติที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในเวทีเทศกาลหนังระดับโลกชั้นนำในรอบปีมาให้ทุกท่านได้พิจารณาในฐานะของผลงานสำคัญระดับรางวัลใหญ่แห่งปีกันสักสิบเรื่อง ตามลำดับเวลากันดังนี้

 

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024

1.DAHOMEY กำกับโดย Mati Diop จากเซเนกัล-ฝรั่งเศส

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล ‘หมีทองคำ’ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเบอร์ลิน 2024

หนังสารคดีความยาวเพียง 67 นาทีที่ไม่มีใครคาดคิดไว้เลยว่าจะชนะรางวัล ‘หมีทองคำ’ ประจำเทศกาลเบอร์ลินปี 2024 ไปได้ แต่ด้วยเนื้อหาที่หนักแน่นกระทบใจ ชวนให้ตระหนักถึงปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ทางสมบัติประวัติศาสตร์อันล้ำค่าร่วมสมัย ว่าเราควรจะมองมันอย่างไร ก็ทำให้หนังสามารถคว้ารางวัลใหญ่เอาชนะเรื่องอื่น ๆ ได้ในที่สุด

Dahomey เป็นชื่ออาณาจักรโบราณที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา ณ ดินแดนประเทศเบนินปัจจุบัน และเหตุผลสำคัญที่ผู้กำกับหญิง Mati Diop นำมาใช้เป็นชื่อหนังก็คือ สารคดีเรื่องนี้เล่าถึงกรณีการทวงคืนสิทธิถือครองสมบัติทางประวัติศาสตร์ของดินแดน Dahomey ที่ทางการฝรั่งเศสเคยโจมตีและยึดไปเมื่อปี ค.ศ. 1890 จำนวนกว่า 7,000 อย่าง และในสมัยปัจจุบันได้นำไปจัดวางตั้งแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ บรองลี ที่กรุงปารีส

โดยประธานาธิบดีมาครง ได้ตกลงสัญญาว่าจะคืนสมบัติจำนวน 26 ชิ้นให้แก่ประเทศเบนินในปัจจุบัน และเพิ่งจะมีการส่งมอบกันเมื่อปี 2020 ซึ่งผู้กำกับ Mati Diop ก็ได้ติดตามการขนย้ายผลงานประวัติศาสตร์เหล่านี้คืนถิ่น โดยใช้เสียงเล่าผ่านวิญญาณที่สิงอยู่ในวัตถุเคารพเหล่านี้ ด้วยวิธีการของงานสารคดีสร้างสรรค์ ก่อนจะหันไปรับฟังการถกเถียงอภิปรายถึงความเหมาะสมในการลักขโมยสมบัติประจำชาตินี้ไปในสมัยการล่าอาณานิคมของเหล่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยอโบเมคาวาลี เพื่อตีแผ่ประเด็นการทวงคืนมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรจะนำกลับมาเป็นสินทรัพย์ของเหล่าทายาทตัวจริง!

2.A TRAVELER’S NEEDS กำกับโดย Hong Sang-soo จากเกาหลีใต้

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล ‘หมีเงิน’ Grand Jury Prize จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเบอร์ลิน 2024

หนังตลกชวนฮาจากเกาหลีใต้ของผู้กำกับ Hong Sang-soo ผู้มีผลงานเข้าประกวดที่เทศกาลเบอร์ลินต่อเนื่องกันแบบรัว ๆ เป็นปีที่ห้าแล้ว

A Traveler’s Needs ได้นักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศสระดับแถวหน้าของวงการ Isabelle Huppert มาร่วมงานด้วยอีกครั้ง หลังจากที่เธอเคยได้ร่วมนำแสดงในหนังของผู้กำกับ Hong Sang-soo มาก่อนแล้วในเรื่อง Claire’s Camera (2017)

กลับมาคราวนี้ Isabelle Huppert รับบทบาทเป็น Iris นักท่องเที่ยวหญิงถังแตกจากฝรั่งเศสในเกาหลีใต้ ที่ได้รับคำแนะนำให้ลองหารายได้พิเศษจากการสอนภาษาฝรั่งเศสแก่คนที่สนใจ แต่ด้วยความที่ Iris ไม่เคยร่ำเรียนหรือมีประสบการณ์ด้านการสอนภาษามาก่อน วิธีการสอนของเธอจึงออกจะพิสดาร

เพราะเธอจะใช้เวลาในการสัมภาษณ์ลูกศิษย์ด้วยภาษาอังกฤษอย่างยาวนาน เพื่อควานหาอารมณ์ความรู้สึกที่ลูกศิษย์ประทับใจ จากนั้นจึงแต่งประโยคให้เป็นภาษาฝรั่งเศส อัดลงเทปคาสเซ็ตต์ ให้พวกเขาพูดตาม เพราะความรู้สึกดื่มด่ำในทุก ๆ คำทุก ๆ ประโยคนี่แหละ ที่จะทำให้พวกเขาเรียนรู้ภาษาใหม่นี้ได้อย่างดี!

หนังดำเนินเรื่องด้วยท่วงทำนองแสนสุนทรีย์ สลับฉากการสัมภาษณ์เพื่อเรียนภาษากับการใช้เวลาบรรเลงดนตรี และที่ขาดไม่ได้คือการได้ลิ้มรสสุราท้องถิ่นนาม makgeolli ซึ่งทุกจิบมันช่างมีรสชาติกำซาบซ่าน จนเหมือนชีวิตไม่ได้ต้องการความสุขอื่นใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว

A Traveler’s Needs จึงเป็นหนังเล็ก ๆ ง่าย ๆ สะท้อนให้เห็นมุมงามของชีวิตอย่างแยบคาย จนแทบจะไม่มีอะไรเป็น conflict ขัดแย้งให้ต้องแสลงเสียอารมณ์กันเลย!

3.PEPE กำกับโดย Nelson Carlo de Los Santos Arias จากสาธารณรัฐโดมินิกัน

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล ‘หมีเงิน’ ผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเบอร์ลิน 2024

Pepe เป็นหนังที่มาในลีลาลูกผสมของงานสารคดีและหนังเล่าเรื่อง ที่อาจจะมองเป็นทั้ง Docufiction และ Docudrama ได้ในเวลาเดียวกัน ทลายเส้นแบ่งกั้นระหว่างงานเล่าเรื่องและสารคดี หรือหนังที่มีรูปแบบคล้ายความเรียง ซึ่งปัจจุบันก็เทียบเคียงจำแนกได้ยากขึ้นทุกวัน ๆ

เนื้อหาของ Pepe เป็นการย้อนเล่าถึงฮิปโปโปเตมัสนาม Pepe ซึ่งเป็นทายาทของคู่ฮิปโปโปเตมัสซึ่ง Pablo Escobar นักค้ายาชื่อดังในอดีตแห่งโคลอมเบีย เคยลักลอบนำเข้าประเทศมาจาก นามิเบีย ทวีปแอฟริกา Pepe จึงมีสัญชาติเป็นละตินอเมริกา ในขณะที่มาตุภูมิดั้งเดิมของมันมาจากดินแดนกาฬทวีป

สิ่งที่บีบหัวใจคือ Pepe กลายเป็นฮิปโปตัวแรกในทวีปอเมริกาที่ถูกฆ่าตาย และตลอดทั้งเรื่องเราจะได้ยินเสียงของ Pepe หลังจากที่มันได้ชีวาวาย เล่าผ่านเสียงพูดทุ้มต่ำหลากหลายภาษา เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ก่อนและตลอดชั่วอายุขัยของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์สปีชีส์นี้

หนังมีลีลาเชิงทดลองที่จัดว่าแปลกพิสดารมากมาย มีการใช้สัดส่วนภาพที่หลากหลาย อาศัยทั้งภาพ footage และส่วนที่ถ่ายทำผ่านการแสดงใหม่สลับกันไปจนดูวุ่นวาย และที่แสบร้ายคือมีการใส่ฉากที่เหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวโดยตรง

ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่ท่องเที่ยวป่าซาฟารีในนามิเบีย หรืออยู่ดี ๆ ก็ยอมเสียเวลาไปกับฉากการประกวดสาวงามกลางดงป่า ชนให้ได้คิดไขปริศนาว่ามีนัยยะใด ๆ ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวของครอบครัวเจ้า Pepe หรือไม่

ซึ่งก็เป็นการหลงป่าออกนอกทางอันน่าพิสมัย ทำให้หนังไม่มีจุดใดที่จะสามารถคาดเดาได้จนกลายเป็นความน่าเบื่อเลย สมแล้วที่หนังจะได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไป กับหนังที่ไม่สามารถนิยามหรืออธิบายอะไรกันได้เรื่องนี้!

4.DYING กำกับโดย Matthias Glasner จากเยอรมนี

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล ‘หมีเงิน’ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเบอร์ลิน 2024

หนังมหากาพย์ภาพชีวิตอันอาภัพและย่อยยับของตัวละครร่วมสมัย ณ เมืองใหญ่ในเยอรมนีด้วยความยาว 180 นาที มีตัวละครหลักคือสมาชิกในครอบครัว Lunies ที่พ่อแม่วัยชราต่างมีปัญหาสุขภาพทั้งโรคความจำเสื่อม เบาหวาน ไต มะเร็ง และการมองเห็น

ในขณะที่ Tom ผู้เป็นบุตรชายก็ได้ทำงานเป็นวาทยกรให้วง orchestra และกำลังจะ premiere บทประพันธ์ใหม่ชื่อ ‘Dying’ ของสหายนักประพันธ์ผู้เบื่อโลกนาม Bernard ที่กำลังต้องการจะจบชีวิตตัวเองลงจริง ๆ พร้อม ๆ กับที่หญิงคนรักเก่าของเขาก็อยากให้ Tom กลับมาเป็นพ่อบุญธรรมของบุตร ส่วน Ellen น้องสาวสุดที่รัก ก็ดันปักใจขอยอมเป็นเมียน้อยทันตแพทย์หนุ่มที่เธอหลงใหล

ครอบครัวใหญ่เรือนนี้จึงมีแต่เรื่องวุ่นวายร้อยแปดพันประการ ชวนให้รู้สึกสงสารว่าชะตากรรมของตัวละครทั้งหมดในเรื่อง มันช่างเหมือนละคร sit-com ที่ทุกคนเจอแต่ความซวยอย่างต่อเนื่อง เหมือนถูกกลั่นแกล้งกันจากเบื้องบนเช่นนี้อยู่ร่ำไป!

5.ALL WE IMAGINE AS LIGHT กำกับโดย Payal Kapadia จากอินเดีย

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล Grand Prix เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2024

หนังรักร่วมสมัย เล่าถึงชีวิตสองนางพยาบาลจากมุมไบ ในอินเดีย นาม Prabha และ Anu ที่อาศัยเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เนื่องจากทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกัน โดยฝ่ายรุ่นพี่ Prabha ถูกจับคลุมถุงชนจนเป็นฝั่งเป็นฝา แต่ฝ่ายสามีดันทิ้งไปหางานทำที่เยอรมนี ในขณะที่ Anu ก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มนาม Shiaz แต่ไม่สามารถหาจุดพลอดรักกันในตัวเมืองอันหนาแน่นไปด้วยผู้คนและต้องทนอดกลั้นความต้องการไว้

จนวันหนึ่ง Prabha ก็ต้องรู้สึกเหมือนมีหนามแหลมมายอกใจเมื่อเธอได้รับพัสดุเป็นหม้อหุงข้าวใบใหญ่รุ่นใหม่ส่งมาจากเยอรมนีโดยที่ไม่มีจดหมายบอกแจ้งแถลงความในเลยสักใบ สุดท้ายพวกนางก็ตัดสินใจใช้วันหยุดพักผ่อนในการเดินทางกลับไปยังเมืองบ้านเกิดริมชลธี ‘รัตนาคีรี’ ไปอิ่มเอิบกับแสงสีไฟนีออนจากร้านอาหารยามราตรีที่จะปลดปล่อยให้พวกนางได้ห่างเหินจากความทุกข์ในมหานคร!

จุดเด่นของ All We Imagine as Light คือน้ำเสียงการเล่าอันแสนอ่อนโยน ด้วยโทนอันอ่อนหวานในแบบสตรีที่เรามักจะไม่ได้เห็นนักในหนังจากอินเดีย โดยเฉพาะจากผลงานของผู้กำกับหญิง

ยิ่งเมื่องานของผู้กำกับสตรีอินเดียในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะโดย Aparna Sen, Mira Nair หรือ Dheepa Meta ก็มักจะเลือกเล่าประเด็นปัญหาสังคมในภาพใหญ่ ไม่เลือกที่จะเจาะไปถึงอารมณ์เบื้องลึกของอิสตรีอินเดียแบบเดียวกับหนังเรื่องนี้ All We Imagine as Light จึงมีความ ‘สดใหม่’ ในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนไปโดยปริยาย

ยิ่งเมื่อได้ลีลาลวดลายในการเล่าที่ผนวกเอาวรรณศิลป์ของงาน ‘ความเรียง’ และ ‘กวีนิพนธ์’ มาผสมปนกับเสียงดนตรีเปียโนสำเนียงแจ๊ส หนังก็ยังให้อารมณ์ของงานศิลปะที่พอจะยังมีความแมสเข้าถึงคนในวงกว้างได้ ไม่ถึงกับล้ำลึกพิสดารจนไม่มีใครเข้าใจ

6.GRAND TOUR กำกับโดย Miguel Gomes จากโปรตุเกส

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล ผู้กำกับยอดเยี่ยม เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2024

Miguel Gomes จากโปรตุเกส เป็นผู้กำกับอีกรายที่ชอบทำหนังนอกประเทศตัวเอง โดยคราวนี้เขาได้ทำหนังสีสลับขาวดำ นำเอาเนื้อหาสั้น ๆ จากหนังสือบันทึกการเดินทางเรื่อง The Gentleman in the Parlour: A Record of a Journey from Rangoon to Haiphong (1930) ของนักเขียนชาวอังกฤษ W. Somerset Maugham มาเล่าใหม่ให้เป็นงาน fiction เชิงทดลองชื่อ Grand Tour

ตัวหนังย้อนยุคไปยังสมัย ค.ศ. 1917 พาผู้ชมร่วมเดินทางไปกับ Edward ข้าราชการหนุ่มจากเครือจักรภพอังกฤษที่เดินทางมายังกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า เพื่อหนีงานวิวาห์จาก Molly สตรีชาวอังกฤษที่ปัจจุบันได้ครองสิทธิ์ในการเป็นคู่หมั้นของเขา

Edward กลัวการเข้าพิธีวิวาห์จนต้องนั่งเรือนั่งรถไฟลุยดงป่าออกเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในเอเชียบรูพา ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ สยาม เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน และญี่ปุ่น ในขณะที่ Molly เองก็ลงทุนเดินทางตามรอย Edward ในทุกที่ที่เขาไป และมักจะถึงที่หมายคลาดกันกับ Edward เพียงไม่กี่ราตรี

แต่คงไม่มีอุปสรรคใดจะมาทำลายกำลังใจของ Molly ได้ เพราะนางมีรอยยิ้มพิมพ์ใจอันเฉิดฉายที่จะมาตอกย้ำว่าหากพระพรหมได้ทรงลิขิตไว้ ไม่วันหนึ่งวันใดเธอก็จะได้พบกับ Edward สมความปรารถนา!

ซึ่งเนื้อหาของหนังก็มีอยู่เพียงเท่านี้จริง ๆ โดยคนดูจะไม่มีโอกาสได้ดิ่งลึกไปสำรวจเหตุผลทางใจภายในของทั้งฝ่าย Edward และ Molly เลยว่ามีเจตนาในการออกตระเวนไปทั่วเอเชียบูรพาอาณาเขตเหล่านี้ด้วยสปิริตใด

หนังทั้งเรื่องจึงเหมือนเป็นการพาเที่ยวพาทัวร์สลับขั้วเวลาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน โดยส่วนที่ถ่ายให้เห็นอาคารบ้านเรือนจริงของประเทศต่าง ๆ จะเป็นส่วนสีที่ถ่ายทำกันแบบร่วมสมัย เช่น ส่วนที่ถ่ายในประเทศไทยก็จะเห็นป้ายเทอดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 10 ปรากฏอยู่ทั่วไป ในขณะที่ท้องเรื่องจริง ๆ ควรจะอยู่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 6

แต่ส่วนที่เล่าเรื่องราวตัวละครเดินทางเข้ารกเข้าพงในดงไพร ก็จะถ่ายด้วยภาพขาวดำเซ็ตทำฉากขึ้นมาใหม่แบบง่าย ๆ กันในสตูดิโอ ด้วยบรรยากาศเชิงโลเคชันแบบเดียวกันเลยกับที่ผู้กำกับฟิลิปปินส์ Raya Martin เคยใช้ในหนังเรื่อง Independencia (2009)

ไอเดียการทำหนังที่ผลักเอาความถูกต้องสมจริงทุกอย่างไว้ทีหลัง แล้วมุ่งนำเสนอพลังจินตนาการสะท้อนมุมมองความคิดอ่านว่าชาวตะวันตกเคยเห็นเหล่าคนเอเชียตะวันออกเหล่านี้อย่างไร คงทำให้ Miguel Gomes สามารถคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลคานส์ในครั้งนี้ไปได้

โดยหนึ่งในตากล้องที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ก็มีคนไทยคือ คุณสยมภู มุกดีพร้อม เป็นหนึ่งในทีมบันทึกภาพด้วย

7.THE SEED OF THE SACRED FIG กำกับโดย Mohammad Rasoulof จากอิหร่าน

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล Special Prize เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2024

เล่าเรื่องราวอิงการเมืองร่วมสมัยที่ออกจะใกล้เคียงสถานการณ์หลาย ๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย

Iman เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาสอบสวน เขาจึงชวนครอบครัวอันประกอบไปด้วยภรรยาและลูกสาววัยรุ่นทั้งสองย้ายมาจับจองห้องพักอพาร์ทเมนต์สวัสดิการสุดหรูแห่งใหม่ใจกลางเมืองเตหะราน

เคราะห์ร้ายที่ Iman ได้รับตำแหน่งหลังเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ต่อกรณีที่ Mahsa Amini สตรีที่ไม่ยอมสวมฮิญาบถูกตำรวจจับตัวไปจนเป็นที่สงสัยว่าถูกทำร้ายร่างกายจนตาย ส่งผลให้เยาวชนหลายแสนคนทั่วประเทศลุกฮือขึ้นต่อต้านการกระทำอันเกินกว่าเหตุของรัฐ

กระทบต่อสวัสดิภาพของครอบครัวผู้พิพากษา Iman เมื่อผู้ประท้วงได้ล่วงรู้ที่อยู่ปัจจุบันของเขา และพร้อมจะเข้าจู่โจมทำร้ายได้ทุกเมื่อ เพราะเชื่อว่า Iman นี่แหละที่ตัดสินให้เหล่าเยาวชนคนมีอุดมการณ์ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นจำนวนมากมาย ไม่เว้นแม้แต่เพื่อน ๆ ของบุตรสาวทั้งสองของเขา!

เมื่ออันตรายเริ่มใกล้เข้ามา Iman ก็รับอาวุธปืนจากที่ทำงานเก็บไว้ป้องกันตัว เขาซุกปืนบรรจุกระสุนตะกั่วไว้ในเก๊ะข้างเตียงนอน จนวันหนึ่งเขาก็เข่าอ่อนเมื่อพบว่าปืนหายไป และต้องเป็นใครคนหนึ่งในบ้านอาคารชุดหลังนี้แหละที่เป็นคนขโมยไป ประกาศสงครามกับหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นช้างเท้าหน้าที่อาศัยอำนาจอันไม่เป็นธรรมในการทำร้ายผู้อื่น!

หนังทวีความขมขื่นได้มากขึ้น เมื่อผู้กำกับนำเอาภาพคลิปเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริงจากการประท้วงในสถานการณ์อันน่าเป็นห่วงมาแทรกไว้ในหนัง ทำให้คนดูต้องนั่งดูด้วยความสลดใจ

ในขณะที่เรื่องราวการปะทะปะทั่งกันระหว่างสองอุดมการณ์คู่ขนานของคนต่าง generation ที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์เหล่า ‘นักเรียนเลว’ ในบ้านเรา ก็ตึงเครียดจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

The Seed of the Sacred Fig จึงสะท้อนภาพความเสียดทานของสังคมร่วมสมัยในประเทศที่วิถีการปกครองยังห่างไกลจากการเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นใหม่มีสายตาในการมองโลกใบนี้ที่แตกต่างไป ในวันที่เทคโนโลยีทำให้พวกเขามีช่องทางในการเข้าถึงในทุกข่าวสาร!

8.BLACK DOG กำกับโดย Guan Hu จากจีน

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล ‘Un Certain Regard Award’ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2024

หนังจากจีนแผ่นดินใหญ่ของผู้กำกับ Guan Hu หนังขายทัศนียภาพสุดลูกหูลูกตาของทะเลทรายทางดินแดนพายัพของจีนในช่วงก่อนการจัดพิธีเปิดงานกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี ค.ศ. 2008 โดย Eddie Peng รับบทเป็น Lang ชายหนุ่มทรงผมสกินเฮดที่เพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำ เขาได้ทำงานเป็นหนึ่งในทีมกำจัดฝูงสุนัขจรจัดที่อาศัยอยู่อย่างแออัดในดินแดนทะเลทราย ก่อนที่แขกบ้านแขกเมืองจากประเทศทั้งหลายจะมางาน

โดยวันหนึ่งเขาได้สานความสัมพันธ์กับสุนัขหลังอานสีดำทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวนัก ในขณะที่งานของเขาเริ่มหนักข้อขึ้นเมื่อไม่ได้มีเฉพาะ ‘หมา’ ให้เขาตามล่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสิงสาราสัตว์มีเขามีเขี้ยว รวมไปถึงงูเงี้ยวให้เขาต้องจัดการ!

หนังโดดเด่นด้วยงานด้านภาพที่สวยแปลกตาไปเสียทุก shot ราวจะเป็น Mad Max: Fury Road ฉบับจีน ณ ดินแดนทะเลทรายที่แทบจะระบุกันไม่ได้เลยว่ามันคือประเทศใด!

9.VERMIGLIO กำกับโดย Maura Delpero จากอิตาลี

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล ‘สิงโตเงิน’ Grand Jury Prize เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส 2024

งานสายมานุษยวิทยาจากอิตาลีที่น่าจะได้ชื่อว่าเป็น ‘คนภูเขา’ แห่งดินแดนรองเท้าบูทพูดจาสำเนียงท้องถิ่นเตรนโตทางตอนเหนือ

ย้อนเวลาไปเมื่อปี 1945 อันเป็นวาระสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ถ่ายทอดครรลองชีวิตในแต่ละฤดูกาลของครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ในภูเขาหิมะขนาดสูงใหญ่ห่างไกลจากความเจริญทั้งหลายทั้งปวง ด้วยท่วงทำนองอันบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติปราศจากการขับเน้นเรื่องราวด้วยอารมณ์ดรามาใด ๆ

ติดตามชีวิตของสมาชิกรายนั้นรายโน้นรายนี้สลับกันไป ราวเป็นงานสารคดีที่ผู้สร้างได้แบกกล้องย้อนเวลาไปถ่ายทำมาให้ดูกันจริง ๆ กลายเป็นหนังที่ ‘บริสุทธิ์’ อย่างยวดยิ่ง มองตรงไหนก็ไม่มีสิ่งใดประดิษฐ์ปลอม!

10.APRIL กำกับโดย Dea Kulumbegashivili จากจอร์เจีย

10 หนังรางวัลจากเทศกาลชั้นนำ ในงาน The 16th World Film Festival of Bangkok 2024 รางวัล Special Jury Prize เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส 2024

งานทดลองพันธุ์ดุจากจอร์เจียของผู้กำกับหญิง Dea Kulumbegashvili ที่แม้จะมีตัวละครอย่างคุณหมอสูตินรีแพทย์ Nina ผู้มีอาชีพเสริมเป็นหมอทำแท้งเถื่อนเป็นคนเดินเรื่องหลัก แต่หนังกลับไปจัดหนักกันด้วยลูกเล่นเชิงงานภาพและเสียงอันชวนให้สะเทือนขวัญอกสั่นหวั่นใจ อุดมไปด้วยภาพชวนอุจาดตามากมาย 

ไม่ว่าจะเป็นฉากการคลอดลูกที่เปิดให้คนดูเห็นทุกอย่างจริง ๆ หรือการตั้งกล้องนิ่ง ๆ ระยะใกล้ให้คนดูได้เห็นกระบวนการทำแท้งกันอย่างยาวนาน

หนังมีอุดมการณ์เบื้องหลังของคุณหมอ Nina วางไว้เป็นปริศนาว่าเธอจะมาสุ่มเสี่ยงทำงานผิดกฎหมายนี้ไปเพื่ออะไร นับเป็นงานในแบบ ‘ดุดันไม่เกรงใจใคร’ จนสามารถชนะใจคณะกรรมการตัดสินรางวัลที่เทศกาลเวนิสไปได้เป็นลำดับที่สาม

 

ติดตามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับงาน The 16th World Film Festival of Bangkok ได้ที่ www.worldfilmbangkok.com