คุยกับ ‘อธิศ รุจิรวัฒน์’ ผู้บริหารที่รักความ ‘จำเจ’ และเชื่อว่าชีวิตที่ดีคือการได้ทำสิ่งที่รัก
“คอลัมน์ The Thought Leaders ผู้นำทางความคิด” ชวนอ่านเรื่องราวของ "อธิศ รุจิรวัฒน์" ผู้บริหารที่เชื่อว่าชีวิตที่ดีคือการได้ทำสิ่งที่รัก
ในโลกของการเงินการธนาคารที่มักถูกมองว่า “เคร่งเครียดและจริงจัง” กลับมีผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่งที่มองชีวิตด้วยความเชื่อที่ว่าชีวิตที่ดี คือการได้ทำในสิ่งที่รัก ทำให้เขาเป็นผู้บริหารที่ทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่ทิ้งรอยยิ้มและพลังบวก อธิศ รุจิรวัฒน์ หรือ “พี่อาร์ต” ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อผ่อนชำระ ผู้ไม่เคยนิยามตัวเองว่าเป็น "แบงก์เกอร์" แต่กลับภูมิใจที่จะบอกว่าตัวเองเป็นนักการตลาดที่บังเอิญมาทำผลิตภัณฑ์ทางการเงินเหล่านี้
หากจะให้แนะนำตัวตนที่แท้จริง เขาคือนักการตลาด นักเขียน และที่น่าแปลกใจคือเป็นนักสะสมของที่ระลึกตัวยงจากภาพยนตร์สตาร์วอร์ส ชายผู้มีกิจวัตรประจำวันที่เป็นระบบระเบียบ เริ่มต้นวันด้วยการดื่มกาแฟ ออกกำลังกาย และใช้เวลาช่วงเย็นอยู่กับครอบครัว ไม่มีอะไรหวือหวา แต่เต็มไปด้วยความสุขในแบบที่เขาเลือก
สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ก้าวหน้า แต่เป็นมุมมองต่อชีวิตที่แตกต่าง เขามองว่าชีวิตเป็นเหมือนการไปเที่ยววันหยุด ที่แม้จะต้องจบลงในวันหนึ่ง แต่ระหว่างทางก็ควรเต็มไปด้วยความสนุกและความท้าทาย ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ ทำให้เขาเป็นผู้บริหารที่ทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่ทิ้งรอยยิ้มและพลังบวก
จากเส้นทางอาชีพที่หลากหลาย ทั้งผู้วางผังรายการทีวี นักแปล นักการตลาด จนถึงผู้บริหารบริษัทให้บริการบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อผ่อนชำระ ทุกก้าวที่ผ่านมาล้วนเกิดจากความชอบและความหลงใหล จนกลายเป็นพลังบวกที่ส่งต่อไปยังทีมงานและผลิตภัณฑ์ที่เขาดูแล
เพื่อทำความรู้จักกับผู้บริหารท่านนี้ให้ลึกซึ้งมากคือ “คอลัมน์ The Thought Leaders ผู้นำทางความคิด” ชวนอ่านเรื่องราวของผู้บริหารท่านนี้ ผู้บริหารที่เชื่อว่าความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกับความเครียด และชีวิตที่ดีคือการได้ทำในสิ่งที่รัก
1. ถ้าเล่าให้มุมมองของพี่อาร์ต มองว่าตัวเองคือใคร
ถ้าเรื่องงานปัจจุบันดํารงตําแหน่งประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ แต่ถ้าไม่ใช่หน้าที่การงาน อือ... (นิ่งคิด) มองตัวเองว่าเป็นนักการตลาด เป็นนักเขียน วงเล็บเป็นคนชอบเขียนแล้วก็เป็นนักสะสมตัวยงของภาพยนตร์สตาร์วอร์ส
ส่วนตัวไม่เคยมองตัวเองเป็นแบงก์เกอร์เลย กลับมองตัวเองว่าเป็นนักการตลาดมาตลอด เพียงแต่ว่าเป็นนักการตลาดที่มาทําผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับธนาคารดีกว่า โดยผลิตภัณฑ์ที่บริหารอยู่ก็มีบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อผ่อนชําระ
2. หลังจากเข้ามารับตำแหน่งบริหารได้ระยะหนึ่งกิจวัตรประจำวันเปลี่ยนไปไหม
เหมือนเดิมเลยครับ (ยิ้ม)
พี่เป็นคนแปลก เป็นคนที่ต้องมีกิจวัตรประจำวันในการทำทุก ๆ อย่าง เป็นคนที่คนชอบอะไรจําเจ ไม่ชอบอะไรที่แปลกไปจากปกติ
ตื่นเช้าอัดกาแฟก่อนเลย (หัวเราะ) จากนั้นก็ไปออกกําลังกาย ไปวิ่งแล้วก็ยกเวท จากนั้นก็แต่งตัวไปทํางาน ทุกอย่างจะค่อนข้างเป็นแพทเทิร์น
ชีวิตพี่เรียบง่าย ทํางานเสร็จกลับบ้านกินข้าวกับพ่อแม่ เล่นกับลูกนิดหน่อยแล้วก็ไปนั่งดูวิดีโอนั่งดูยูทูบ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็ประมาณนี้เหมือนกันไม่ได้มีอะไรหวือหวา
3. ในฐานะผู้บริหาร มองการทำงานยังไงบ้าง
เป็นคนทำงานแบบไม่ค่อยเครียด ค่อนข้างสบาย ๆ และพี่เชื่อว่าทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้
อีกอย่างที่อาจจะแปลกกว่าชาวบ้านซึ่งเคยพูดมาแล้วทุกคนก็อึ้งไปเหมือนกันโดยเฉพาะน้อง ๆ ที่ทํางาน น้องเขาเคยถามว่าพี่มองชีวิตการทำงานและชีวิตทั่ว ๆ ไปยังไง พี่ตอบไปว่า พี่มองชีวิตเป็นเหมือนวันหยุด วันพักผ่อน ซึ่งพี่เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ รู้สึกว่าคนเราอยู่บนโลกนี้ได้จํากัด เหมือนเวลาเราไปเที่ยวสักวันหนึ่งวันหยุดพวกนั้นก็ต้องหมดไป เราก็ต้องกลับบ้าน
ดังนั้น พี่มองชีวิตแบบนั้น เราถูกวางไว้ตรงนี้แค่ระยะเวลาหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่จําเป็นที่จะต้องเครียดอะไรมากมาย เหมือนเราไปเที่ยวสักวันหนึ่งจากนั้นเราก็ต้องกลับบ้าน
พี่รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ทั้งเรื่องชีวิตและเรื่องงาน มันต้องมีทางออกเสมอ พี่เลยเป็นคนไม่ค่อยเครียดเท่าไรกับเรื่องงาน
แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่เอาจริงเอาจังนะ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่มีความกดดันแต่แค่รู้สึกว่าถ้าเราคิดอย่างนี้ได้ทุกอย่างก็จะไม่ใหญ่ แล้วเราก็จะหาทางออกได้ ถ้าวันนี้แก้ไม่ได้ก็ยังมีพรุ่งนี้อยู่
4. พี่อาร์ตเคยให้สัมภาษณ์ว่าหลายปีที่ผ่านมาทำงานมาหลายวงการทั้งนักวางผังรายการทีวี นักแปล นักการตลาด และแบงก์เกอร์ อาชีพที่ผ่านมาหล่อหลอมตัวเราอย่างไรบ้าง
แทบไม่เปลี่ยนไปเลย พี่ว่าบริบทเปลี่ยนไปด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากขึ้น แต่ในความเป็นตัวเราเอง ก็ยังเป็นคนเดิม
ถ้าถามว่าในบทบาทของงานต่าง ๆ ที่ทํามาทําให้เราเปลี่ยนไหม คงไม่ได้ทําให้เราเปลี่ยน เพียงแต่เป็นเรื่องของความรู้และประสบการณ์มากกว่าที่หลอมให้เราเป็นเราในเวอร์ชันปัจจุบัน
ทุกงานที่ทํามาล้วนมาจากความอยากทําแล้วก็เป็นแพชชั่น ที่ผ่านมาพี่แทบจะไม่เข้าไปอยู่ในงานแล้วที่พี่รู้สึกว่าไม่ชอบ อันนี้อาจจะเป็นความโชคดีเพราะเราจะเป็นคนเข้าไปที่งานเองมากกว่า
ส่วนใหญ่เราเดินเข้าไปหางานเอง ไม่ใช่งานเดินมาหาเรา ทั้งหมดก็เลยผ่านการกลั่นกรองมาพอสมควร ตรงนั้นก็เลยทําให้เราทำงานค่อนข้างเต็มที่แล้วเรามีความชอบอยู่แล้วก็เลยอาจจะทําได้ดี
ถามว่างานที่ผ่านมาเสริมความเป็นผู้นำของพี่ขนาดไหน พี่ว่าพอเราชอบในสิ่งเราทำ พลังงานที่เราส่งออกมาก็จะค่อนข้างไปในทิศทางบวก สิ่งหนึ่งที่คนรอบ ๆ ตัวพี่มักจะบอกคือ พี่เป็นคนมีพลังงานด้านบวก และพี่ดูเป็นคนมีความเชื่อบางอย่างในงานที่ทำ
อย่างเวลาพี่พูดถึงผลิตภัณฑ์ที่ดูแล พี่เชื่อจริงนะว่าทุกอย่างเป็นของดีเป็นโปรดักต์ที่มีคุณภาพ ทุกผลิตภัณฑ์ที่ทำมันมาจากอินเนอร์ที่เชื่อว่าดีจริง ๆ มันก็เลยจะสื่อสารหรือแสดงออกมาได้ดีกว่าปกติแค่นั้นเอง
5. แล้วจากประสบการณ์ทำงานหลายปี มองว่าคุณสมบัติอะไรที่จำเป็นในการบริหารทีมทุกวันนี้
พี่คิดว่าต้องมีความเป็นมนุษย์และเอาใจเขามาใส่ใจเรา
(นิ่งคิด) เผอิญพี่ดันเกิดมาเป็นมาเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ ไม่เรียกว่าเป็นมนุษย์มากกว่าคนอื่นเพราะทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ว่าพี่เข้าใจคนได้ดีกว่าคนอื่นดีกว่า หากให้ขยายความก็คือว่าพ่อแม่พี่มักจะบอกว่า เออ..เธอเป็นคนที่แปลกอย่างนะ เธอเป็นคนที่สามารถเข้าใจและรับรู้ได้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไง
เพราะฉะนั้นเวลาคุยกับใครพี่ก็จะรู้ว่า ถ้าเกิดเราเป็นเขา เราจะรู้สึกยังไง
ดังนั้น มิติของความสัมพันธ์หรือว่าการคุยกับคนอื่นก็เลยค่อนข้างราบรื่นขึ้น เป็นกันเองขึ้น ซึ่งก็เป็นคุณสมบัติสำคัญของการบริหารทีม
ไม่ว่าเราจะสวมหมวกไหน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ เพราะฉะนั้นในชีวิตประจําวันไม่ว่าเราจะเป็นผู้บริหารหรืออยู่ในบทบาทไหนก็ตาม เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ในหลายมิติ
ยิ่งหลายคนเริ่มไต่ขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือว่าหน้าที่ความรับผิดชอบเราเริ่มเพิ่มขึ้น ตอนนั้นเราเริ่มจะไม่เป็นตัวเองแล้วล่ะ เริ่มที่จะเป็นทีมมากกว่า หรือเริ่มที่จะเป็นแบบกลุ่มคนมากกว่า
ดังนั้น ถ้าไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี หรือเราไม่สามารถที่จะจูงใจหรือสร้างแรงบันดาลใจ ก็จะขับเคลื่อนได้ยากกว่าเพราะว่าเราคงไม่สามารถแบกภาระของหน่วยงานหรือว่าองค์กรไว้ได้คนเดียว
6. นอกจากความสามารถในการเข้าใจคนรอบตัวได้ดีกว่าคนอื่นแล้ว มีฟีเจอร์ไหนในตัวพี่อาร์ตที่สำคัญกับการบริหารทีมหรือสร้างผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นไหม
น่าจะเป็นการที่พี่มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวเยอะนิดหนึ่ง (ยิ้ม)
ถึงแม้เราจะเราจะแก่ตัวลงด้วยอายุด้วยความรู้ด้วยประสบการณ์ต่าง ๆ แต่ในอินเนอร์ลึก ๆ พี่ยังรู้สึกว่าเป็นคนเดิมตั้งแต่เด็กจนโต คนที่รู้จักพี่ก็จะรู้สึกว่าไม่เปลี่ยนไป ยังเป็นเด็กคนเดิม
เพราะฉะนั้นด้วยคุณลักษณะนี้ พี่รู้สึกว่าพี่มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการเยอะ ความคิดแปลกใหม่หรือว่ามิติของจินตนาการในหัวยังโลดแล่นเหมือนเดิม ยังรู้ว่ามีอิสระที่จะคิดนอกกรอบหรืออิสระที่จะจินตนาการ
สมองพี่ไม่ได้ถูกล็อกด้วยตําแหน่งงานหรือด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น พี่ยังรู้สึกว่ามีอิสระที่จะค้นหาจินตนาการแปลก ๆ ตลอดเวลา
7. พี่อาร์ตเป็นคนที่มีความชอบและหน้าที่การงานที่ดูแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในแง่งานอดิเรกพี่ชอบสะสมของต่าง ๆ จากสตาร์วอร์ส ส่วนหน้าที่การงานคือผู้บริหารกรุงศรี คอนซูมเมอร์ แบบนี้มองเรื่องเวิร์คไลฟ์บาลานซ์ยังไง
ถามว่าพี่บาลานซ์รึเปล่า พี่ไม่ได้ขีดเส้นแบ่งเวิร์คไลฟ์บาลานซ์ เพราะทั้งสองมันรวมกัน
ตื่นนอนมาก็ออกกําลังกายด้วยการวิ่ง แล้วก็ไปทํางาน ทํางานก็ทําในสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่แล้ว งานอดิเรกดูหนังฟังเพลงสะสมนู่นนี่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต งานก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นทุกอย่างถูกรวมอยู่ใน “ความเป็นชีวิตพี่”
พี่ไม่เคยรู้สึกว่าคนเราต้องแบ่งระหว่างเรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวเพราะพี่รวมเป็นสิ่งเดียวกัน
นั้นถึงเป็นสาเหตุที่พี่บอกว่าเป็นคนใช้ชีวิตเป็นแพทเทิร์น ในแพทเทิร์นนั้นมันแบ่งอยู่แล้วว่าตอนนี้ต้องทําอะไร เลยกลายเป็นไม่จําเป็นต้องแบ่ง เพราะทุกอย่างถูกแบ่งสัดส่วนมาเป็นชีวิตประจําวันของพี่อยู่แล้ว
8. อยากบอกอะไรกับตัวเองในวัยเด็กหรืออยากกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรไหม
พี่คิดว่ามายืนอยู่ในจุดนี้ได้เพราะทุกอย่างที่พี่ผ่านมา พี่กลัวว่าถ้าเราย้อนกลับไปแล้วไปเปลี่ยนอะไรนิดหนึ่งมันอาจจะไม่กลับมาเป็นคนคนนี้ก็ได้
แต่ถ้าถามว่ามีอะไรที่อยากกลับไปแนะนำตัวเองตอนเด็ก ก็คงไปบอกว่าควรออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะการมีไลฟ์สไตล์ที่เน้นการรักษาสุขภาพมันดีกับทุกอย่างมากกว่า
แล้วในชีวิตพี่ คนที่เข้ามาในชีวิตดีเกือบหมดเลย ไม่เคยเจอปัญหาเกี่ยวกับคน ดังนั้นทุกคนที่เข้ามาก็มีส่วนหล่อหลอมให้เราเป็นคนคนนี้ได้ เลยไม่อยากเข้าไปเปลี่ยนอะไร