“ใจฟู..สตอรี่” หนังรักที่ 2 ผู้บริหาร “ไท เมเจอร์ - M39” ปลุกปั้นมากับมือ
Executive Talk กับสองผู้บริหารค่ายหนัง "ไท เมเจอร์" และ "เอ็ม เทอร์ตี้ไนน์" ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังโปรเจคท์หนังไทยแนวโรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “ใจฟู..สตอรี่” ที่ให้ความสำคัญกับบท ผู้กำกับ นักแสดง จนนำไปสู่ความเชื่อมั่นว่าคนดูจะเดินออกจากโรงด้วยความสุข และหัวใจที่พองโต
เมื่อสองค่ายหนังชั้นนำของฟากฟ้าเมืองไทยอย่าง ไท เมเจอร์ (TAI MAJOR) และเอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ (M39) ประกาศจับมือกันสร้างภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “ใจฟู..สตอรี่” ด้วยกันเป็นครั้งแรก เชื่อแน่ว่าต้องมีหลายคนที่สงสัยใคร่รู้ว่า
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจตรงไหนถึงทำให้คุณวิสูตร พูลวรลักษณ์ แห่ง TAI MAJOR บุคคลากรระดับตำนานของวงการหนังไทย (ผู้ก่อตั้งค่าย ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งผลิตผลงานคุณภาพอย่าง ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย, ฉลุย, พริกขี้หนูกับหมูแฮม, 2499 อันธพาลครองเมือง, นางนาก ฯลฯ) สนใจปลุกปั้นโปรเจคต์นี้ร่วมกับคุณปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ ผู้บริหารหญิงไฟแรงแห่งค่าย M39 ที่เคยส่งภาพยนตร์ ‘มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ’ ออกมาสร้างปรากฎการณ์คนแห่ไปดูจนล้นโรงในช่วงโควิดระลอกแรก ทั้งที่ตอนนั้นวงการหนังทั่วโลก (ไม่เฉพาะแต่หนังไทย) กำลังซบเซาอย่างหนัก
“ใจฟู..สตอรี่” เป็นภาพยนตร์ omnibus ที่เกิดจากการนำเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว 5 คู่มาร้อยเรียงให้เป็นเรื่องเดียวกัน ผ่านฝีมือการกำกับและเขียนบทของ พฤกษ์ เอมะรุจิ เจ้าของผลงาน ไบค์แมน 1-2 และ อีเรียมซิ่ง ที่คราวนี้ขอท้าทายตัวเองด้วยการหันมาเขียนบทหนังแนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่นำแสดงโดย พีช – พชร, มินนี่-ภัณฑิรา, ณัฏฐ์ กิจจริต, เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา, เพียว- เพียวรินทร์, ทิกเกอร์-อชิระ, ซิม่อน-วชิรวิชญ์, ปั๋น Riety, ลี - ฐานัฐพ์ และฝน – ศนันธฉัตร
หนังรักที่ไม่ต้องมีคำว่า “รัก”
ปัญชลีย์แห่ง M39 เล่าว่า พัฒนาบทหนังร่วมกับ พฤกษ์ เอมะรุจิ อยู่นานร่วม 8 เดือน แต่ด้วยความที่ตัวเองถนัดแต่หนังแนวโลคัล (ท้องถิ่น) ที่เจาะกลุ่มภาคอีสาน ภาคใต้ จึงนึกถึงวิสูตร พูลวรลักษณ์ ซึ่งผลงานที่ประสบความสำเร็จในช่วงยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมาของเขาเป็นหนังรักวัยรุ่นทั้งสิ้น
“เรามีความมั่นใจว่าประสบการณ์ตรงนี้ของพี่วิสูตรจะทำให้หน้าหนังมันแมส เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้จริงๆ ส่วนในพาร์ทของเอ็มสามเก้า เราถนัดเรื่องโปรโมทประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว พอมารวมกันก็เสริมโปรเจคท์นี้ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น”
ในขณะที่ทางคุณวิสูตรเล่าว่ามีความสนใจหนัง “ใจฟู..สตอรี่” ในสองเรื่องด้วยกัน คือ 1.ตัวบทภาพยนตร์ ซึ่งตอนที่ได้รับบทมาก็อ่านรวดเดียวจบแล้วรู้สึกชอบ นึกภาพออกเลยว่าถ้าทำหนังมาแล้วจะเป็นยังไง จึงยินดีที่จะทำด้วยกัน 2.อยากร่วมงานกับ พฤกษ์ เอมะรุจิ มานานแล้ว เพราะเป็นแฟนหนังของเขา ชอบสไตล์ ชอบมุกโบ๊ะบ๊ะ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็หยิบมาใส่มุกได้หมด
แม้แต่ชื่อหนัง “ใจฟู..สตอรี่” คุณวิสูตรก็เป็นคนคิด
“ช่วงนั้นมันมีคำนึงที่คนพูดถึงกันบ่อยมาก คือคำว่า “ใจฟู” ผมเลยคิดว่าตอนนี้คำว่า “ใจฟู” มันเป็นคำที่คนใช้กันปกติแล้วนะ งั้นลองเอามาตั้งเป็นชื่อหนังดีไหม”
“จำได้เลยวันนั้นพอพี่วิสูตรบอกว่า “ใจฟู..สตอรี่” ทุกคนลงมติเอกฉันท์เลย” คุณนก-ปัญชลีย์กล่าว ขณะที่คุณวิสูตรเสริมว่า “จริงๆ ผมไม่กะขายด้วยนะ เป็นชื่อที่ผมเก็บไว้เป็นแผ่นสุดท้ายเลย ขายชื่ออื่นไปก่อน พอคิดว่าไม่รอดแล้วก็เลยเอาชื่อนี้นะ ไม่มั่นใจนะ แต่ทุกคนกลับตาวาว”
ในขณะที่คุณปัญชลีย์กล่าวต่อว่าที่ทุกคนชอบชื่อนี้เพราะมันลงตัวมาก ไปดูหนังแล้วจะเกิดอาการนั้นจริงๆ มันเป็นเรื่องราวที่ดูแล้วหัวใจพองโต
“ใจฟู มันเป็นอาการของคนมีความรักครับ คนที่มีความรักเท่านั้นที่จะใจฟู มันแทนคำว่ารักโดยไม่ต้องมีคำว่ารัก ผมเป็นคนที่ชอบตั้งชื่อหนังแล้วไม่อยากมีคำว่ารัก อยากได้ชื่ออะไรก็ได้ที่มันสื่อความหมายมากกว่า” คุณวิสูตรกล่าว
มนุษย์ทุกคนต้องการเรื่อง Happy Ending
คุณวิสูตรมองว่าสิ่งที่น่าสนใจของ “ใจฟู..สตอรี่” คือคอนเซปต์ของหนัง
“หนังเรื่องนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Happy Ending คอนเซปต์ของมันคือ พระเอกเป็นนักเขียนบทที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ ไม่เชื่อเรื่องความรักที่จะต้องจบแบบสวยงาม ในขณะที่มินนี่ (มินนี่-ภัณฑิรา นางเอกของเรื่อง) ที่เป็นคนอ่านบทจะรู้สึกว่า ถ้าไม่ทำแบบนี้นะ หนังเจ๊งแน่ คุณทำหนังไปก็ไม่มีคนดูหรอก
คือมันพูดแทนคนทำหนังในปัจจุบันนี้เลย พระเอกก็เลยค่อยๆ เรียนรู้จากผู้หญิงคนนี้ที่รู้จักกันเพราะมานั่งเฝ้าไข้หน้าห้องไอซียูด้วยกัน ก็เหมือนต่างคนต่างแลกเปลี่ยนไอเดีย เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สุดท้ายพระเอกก็เข้าใจคำว่า happy ending คืออะไร
ถึงแม้ทัศนคติของเขาจะรู้สึกว่า คนเราชีวิตมันไม่ได้จบลงสวยงามหรอก คุณดูสิ มีคนป่วยเต็มเลย แล้วมันจะมานั่งโลกสวยกันอยู่ได้ยังไง แต่ในความเป็นจริงคือ มนุษย์ทุกคนมันต้องการแฮปปี้เอนดิง มันต้องการความสวยงามแหละ ไม่มีใครต้องการเรื่องเลวร้ายเข้ามาในชีวิตหรอก ผมชอบประเด็นนี้ ไอเดียนี้”
การเปลี่ยนแนวของผู้กำกับ “พฤกษ์ เอมะรุจิ”
หลายคนที่เคยเป็นแฟนหนังของ “พฤกษ์ เอมะรุจิ” อาจจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าภาพยนตร์ “ใจฟู..สตอรี่” ไม่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาของเขา เพราะเป็นการเปลี่ยนแนวจากหนัง “ซิทคอม” ไปเป็น “รอมคอม”
“หนังเรื่องนี้อย่าไปคาดหวังว่าเราจะขำทุกสามนาที มันเป็นหนังที่ให้อารมณ์แบบยิ้มๆ จี๊ดๆ มากกว่า เป็นหนังที่เราจะสัมผัสกับอะไรที่อบอุ่นมากกว่าที่จะเป็นแบบไบค์แมน หรืออะไรที่ตบมุกกันชงมุกกัน” คุณวิสูตรกล่าวพร้อมเสริมว่า “สังเกตว่าผมจะไม่ใช้คำว่าขำมาก ฮามาก มันมีความตลกอยู่นะ แต่ไม่ใช่จุดขาย”
ในขณะที่คุณปัญชลีย์กล่าวว่า “ใจฟู..สตอรี่” เป็นแนวทางใหม่ของ พฤกษ์ เอมะรุจิ ที่ไม่ใช่ซิทคอม โดยเธอขอใช้คำว่า feature film ที่สมบูรณ์แบบสำหรับหนังเรื่องนี้ของเขา
สำหรับความคิดเห็นที่มีต่อการเปลี่ยนแนวทางการเขียนบทและกำกับของ พฤกษ์ เอมะรุจิ นั้น ผู้บริหารทั้งสองค่ายยืนยันว่าเขาทำได้เป็นอย่างดี
“ตอนแรกผมก็ doubt (กังขา) ว่าตุ๋ย (พฤกษ์ เอมะรุจิ) มาทำหนังโรแมนติกคอมเมดี้ จากคนที่เคยเขียนแต่มุกตลกทุก 3 นาที พอมาอยู่ในโครงสร้างที่มันต้องบังคับตัวเองว่า ต้องมีปูเรื่องนะ ต้องมีเก็บเรื่องนะ ต้องมีจุดหักเหนะ แต่เค้าทำได้ เพราะตุ๋ยเค้าเป็นนักเขียนบทจริงๆ เค้ายิ่งเขียนยิ่งเข้าใจว่าจะเล่าอะไร ผมเชื่อว่าตอนนี้ต่อให้ตุ๋ยไปทำหนังแอคชั่นเค้าก็ทำได้ เพราะเค้าเริ่มเข้าใจแล้วว่า คำว่าบทภาพยนตร์มันคืออะไร
บางคนไม่กล้าเปลี่ยนเลยนะ บางคนทำหนังแนวเดียวมาตลอดชีวิต อย่าง อาดอกดิน (ดอกดิน กัญญามาลย์) ที่ไม่กล้าเปลี่ยนเลยเพราะกลัวไม่มีคนดู แต่บางคนก็เปลี่ยนทุกแนว เปลี่ยนจนงง แต่คนพวกนี้เค้าเก่งนะ เปลี่ยนได้ตลอดเลยแสดงว่าเค้าปรับตัวได้ เค้าเรียนรู้ได้”
ในขณะที่คุณปัญชลีย์ซึ่งเป็นคนปลุกเร้า และให้กำลังใจ พฤกษ์ เอมะรุจิ ในการท้าทายตัวเองมาตั้งแต่ต้นเล่าว่า
“แรกๆ เค้าก็ไม่แน่ใจหรอก พี่ก็บอกว่าอยากทำอะไร มีของอะไรใส่มาให้หมดเลย แล้วเราค่อยมาคอมเมนต์กัน พอดีช่วงนั้นเราล็อกดาวน์ปีแรก เลยมีเวลากับมันเพราะไม่ได้ไปไหน เราก็ทำกันอยู่แปดเดือน พี่ไม่เก่งแนวนี้แต่ใช้หาข้อมูลเอา หลายๆ อย่างในหนังก็เอาประสบการณ์ของคนช่วงโควิดมาใช้ ลูกบอล โดรนส่งอาหาร ได้มาจากเมืองนอกที่ส่งของให้กัน หรือการนั่งดินเนอร์กันข้ามตึกก็ได้มาจากเหตุการณ์จริงในติ๊กต่อก
เราบอกเขาไปว่าต้องกล้าที่จะทำ ถ้าไม่กล้าทำก็จะไม่หลุดจากสิ่งที่เป็น หรือตุ๋ยจะเขียนรอมคอมไปตลอดชีวิต พี่ใช้คำว่าจังหวะที่เค้าทำมาทั้งหมด หนังทุกเรื่องของเขามันคือซิทคอมบนโรงภาพยนตร์ แต่อันนี้ (ใจฟู..สตอรี่) มันเป็นอีกบริบทหนึ่ง ซึ่งมันเป็นแนวทางเดียวกับที่พี่วิสูตรมองหา มันเลยเป็นความลงตัวว่าเราสามคน (วิสูตร ปัญชลีย์ พฤกษ์) เลยมาร่วมกัน นี่คือที่มาทั้งหมด”
เราปิดท้ายการพูดคุยแบบ Executive Talk กับสองผู้บริหารค่าย TAI MAJOR และ M39 ด้วยการถามถึงความคาดหวังจาก “ใจฟู..สตอรี่”
คุณปัญชลีย์กล่าวว่าในแง่ของการดูหนังแล้วมีความสุข สนุกสนาน เพลิดเพลิน บันเทิง เธอพอใจมากที่สุดแล้ว ที่เหลือให้คนดูตัดสินเอาเอง ในขณะที่คุณวิสูตรกล่าวคล้ายๆ กันว่า
“เป้าหมายคนทำหนังทุกคนเราก็อยากให้คนดูชอบ อยากให้คนดูฟินในสิ่งที่เราทำ แต่นอกเหนือไปจากนั้นเราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นธุรกิจ ถ้าหนังไม่ขาดทุน สามารถไปต่อได้ เราก็คงมีกำลังใจ แฮปปี้ อยากทำต่อ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะทำเงินได้เท่านั้นเท่านี้ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า”
ในขณะที่คุณปัญชลีย์เสริมว่ามันต้องบาลานซ์ระหว่างอาร์ติสกับบิสซิเนส มันต้องไปด้วยกันให้ได้ ไม่งั้นคนทำหนังก็หมดกำลังใจกันพอดี แต่สำหรับเธอแล้วตอนนี้รู้สึก “ใจฟู” ทุกวัน เพราะภาพยนตร์ “ใจฟู..สตอรี่” กำลังมอบความสุขให้กับผู้ชมที่สามารถตีตั๋วเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์ได้ขณะนี้