“Waffle Day” 24 สิงหาคม รู้จักที่มาของ “วาฟเฟิล”
“วาฟเฟิล” เป็นอาหารเช้ายอดนิยมของชาวอเมริกัน วันที่ 24 สิงหาคม เป็น “วันวาฟเฟิล” หรือ “Waffle Day” ชวนกินวาฟเฟิล และรู้จักที่มาของขนมรูปรังผึ้ง
วันที่ 24 สิงหาคม เป็น วันวาฟเฟิล (International Waffle Day) ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1869 เป็นวันที่นักธุรกิจชาวดัทช์-อเมริกัน จดสิทธิบัตร เตาวาฟเฟิล รูปรังผึ้ง เป็นครั้งแรก
วันนี้ชาวอเมริกันเลยตั้งให้เป็น Waffle Day ฉลองกินวาฟเฟิล ซึ่งที่จริง ชาวอเมริกันและคนยุโรปกินวาฟเฟิลมานาน วาฟเฟิลเก่าที่สุดย้อนไปถึงยุคกรีกโบราณ
อาหารเช้า วาฟเฟิล เบคอน ไข่ดาว (Credit: allrecipes.com)
ที่มาของวาฟเฟิล : สายสืบอาหารบันทึกว่า ชาวกรีกโบราณทำ วาฟเฟิล กินก่อนใคร ย้อนไปได้กว่า 4,000 ปีก่อน คือแป้งจากข้าวสาลีไม่ขัดสีผสมกับน้ำ กวนให้ข้นแล้วเทบนหินร้อน พลิกสองด้านให้สุก กินง่าย ๆ เป็นอาหารเช้า หน้าตาคงเหมือนแพนเค้กโฮลวีท กลม ๆ แบน ๆ เรียกว่า Obelious
วาฟเฟิลกับเบอร์รี่และไอศกรีม (Credit: wallpaperflare.com)
วาฟเฟิลยุคโบราณไม่หวาน ไม่อบไม่ทอดเพราะยังไม่มีเตา แค่ปิ้งหรือย่างให้สุก พอถึงยุคกลางในยุโรป ชาวคริสต์หลังไปโบสถ์สวดมนต์เสร็จก็กิน วาฟเฟิล โดยทำเป็นรูปสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น รูปไม้กางเขน เรียกว่า Oublies
ไม่นานนัก ชาวบ้านก็ทำวาฟเฟิลกินเองที่บ้าน และเมื่อนักรบครูเสดกลับจากตะวันออกได้นำเครื่องเทศเช่น ขิง อบเชย กลับมาด้วย วาฟเฟิลจึงมีส่วนผสมของเครื่องเทศ มีรสชาติและรูปทรงหลากหลายขึ้น
(Credit: wonderopolis.org)
พัฒนาการของวาฟเฟิล : เริ่มใส่นม ไข่ มีความหนาของแป้งแตกต่างกัน ราวศตวรรษที่ 14 คนอังกฤษเรียกว่า Wafer หลังไปโบสถ์สวดขอพรแล้วจะออกมากินวาฟเฟิล ที่พ่อค้าทำขายร้อน ๆ อยู่หน้าโบสถ์
ชาวยุโรปกินวาฟเฟิลในทุกชุมชนจนถึงราชวัง มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปเช่น Wafel คำนี้มาจากภาษาดัทช์, Gaufre, ชาวฝรั่งเศสเรียก Walfire หมายถึง รังผึ้ง, เค้ก
เพราะแป้งวาฟเฟิลจะนุ่ม ๆ ไม่เหมือนขนมปัง สมัยก่อนยังไม่มีเตาตะแกรง เมื่อผสมแป้งเสร็จก็เทลงถาดเหล็กที่มีด้ามยาว เพื่อป้องกันความร้อน พลิกสองด้านให้สุกทั่วกัน
วาฟเฟิลแผ่นบางรูปหัวใจ (Credit: pixabay.com)
ทำไม Wafer กลายเป็น Waffle : บันทึกว่าชาวอังกฤษเติม f เพิ่มขึ้นอีกตัวเมื่อราวศตวรรษที่ 18 เมื่อชาวดัทช์เดินทางสู่โลกใหม่อเมริกา ก็นำวัฒนธรรมวาฟเฟิลไปเผยแพร่ เมื่อปี 1620
(Credit: pixabay.com)
อดีตประธานาธิบดีอเมริกา Thomas Jefferson ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำถาดเหล็กด้ามยาว (มือจับ) จากฝรั่งเศสเข้ามาใช้ในอเมริกาเมื่อปี 1789 อีก 80 ปีต่อมา ชาวดัทช์-อเมริกัน ชื่อ Cornelius Swarthout เป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตร เตาวาฟเฟิลรูปรังผึ้ง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 1869 วันนี้จึงเป็น วันวาฟเฟิล
เตาวาฟเฟิล : มีหลักฐานว่าชาวดัทช์ เป็นผู้คิดทำเตารูปรังผึ้ง หรือเตาตะแกรงวาฟเฟิลเมื่อศตวรรษที่ 15 ปัจจุบัน เตาวาฟเฟิลรูปรังผึ้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในครัวของชาวยุโรปและชาวอเมริกัน มีทั้งทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งทำให้การทำวาฟเฟิลง่ายขึ้น เตาไม่ใหญ่หนักเหมือนของเก่าที่ทำจากเหล็ก
(Credit: challangedairy.com)
แต่ของโบราณเป็นถาดกลม มีด้ามยาว ถ้าของชนชั้นสูงด้านบนสลักลวดลายประจำตระกูล มีให้ชมในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในยุโรป เป็นวัตถุโบราณล้ำค่า
วาฟเฟิลแตกต่างจากแพนเค้ก : เพราะรูป “รังผึ้ง” หรือตะแกรงสี่เหลี่ยม แม้พื้นฐานแป้งเหมือนกันคือ แป้งสาลี ไข่ นม น้ำตาล เกลือนิดหน่อย จะใส่เครื่องเทศเช่น วานิลลา ขิง อบเชย กานพลู ผงจันทน์เทศ ฯลฯ หรือใส่สีแต่งกลิ่นใด ๆ ก็ได้ จึงทำให้คนกินบอกว่า วาฟเฟิลอร่อยกว่า
ความอร่อยของวาฟเฟิลอยู่ในช่องสี่เหลี่ยม (Credit: flickr.com)
ความอร่อยของวาฟเฟิล : เนื่องจากรูปทรงเหมือนตะแกรงที่มีช่องสี่เหลี่ยมหรือรังผึ้ง ทำให้เวลาเทแป้งจะช่วยประหยัดแป้ง อีกอย่างเมื่อแป้งสุกจะมีผิวนอกกรุบกรอบ ข้างในนุ่ม เวลาเทเมเปิ้ลไซรัป หยอดเนย เนยถั่ว หรือซอสช็อกโกแลตลงไปจะลงไปในช่องสี่เหลี่ยม เมื่อกัดเข้าปากจึง (บอกว่า) อร่อยกว่า...
วาฟเฟิลชาเขียวไส้ถั่วแดง (Credit: matchazuki.com)
วาฟเฟิลนานาชาติ : เมื่อเริ่มต้นที่ยุโรป ชาวยุโรปจึงมีวาฟเฟิลหลากหลาย ปัจจุบันยังเถียงกันว่า ชาวดัทช์ (เนเธอร์แลนด์) หรือชาวเบลเยี่ยม คิดค้นทำวาฟเฟิลก่อนใคร เพราะชาวเบลเยี่ยม นิยมกินวาฟเฟิลมาก เป็นสตรีทฟู้ดประจำชาติ ในเบลเยี่ยมยังมีสารพัด วาฟเฟิล ประจำแคว้น เช่น
(Credit: myfoodandfamily.com)
Brussels waffle แป้งนุ่มเบา กรอบ แผ่นใหญ่กว่าวาฟเฟิลทั่วไป เสิร์ฟร้อน ๆ โรยน้ำตาลไอซิ่ง ใส่วิปครีม ผลไม้สด ซอสช็อกโกแลต
Leige waffle ต้นกำเนิดจากแคว้น Wallonia ในเบลเยี่ยม ดัดแปลงมาจากแป้งบริยอช แล้วใส่น้ำตาลกรวดระหว่างที่กำลังทำวาฟเฟิล เมื่อแป้งสุกน้ำตาลจะเป็นเกล็ดจับอยู่ด้านบน มีรสวานิลลา, อบเชย ฮิตมาก ขายมากในสกีรีสอร์ท ในเนเธอร์แลนด์และอเมริกา
วาฟเฟิลทรงกลมแผ่นบางกับเบอร์รี่ (Credit: pixabay.com)
Flemish waffle แป้งหนา กินแบบหวานใส่เมเปิ้ลไซรัป หรือน้ำผึ้ง ซอสช็อกโกแลต เบอร์รี่ เป็นอาหารเช้าแบบหวาน ๆ ของคนอเมริกัน แบบคาวกินกับเบคอน
Waffle cookie แผ่นบางเหมือนกินคุกกี้ เริ่มที่เบลเยี่ยม และพัฒนาต่อเป็นวาฟเฟิลแบบม้วน เรียกว่า Rolled waffle
วาฟเฟิลชาเขียวไส้ครีมชาเขียว (Credit: sporckly.com)
Hong Kong waffle สไตล์ฮ่องกง มีหลายแบรนด์ ทรงกลมแล้วตัดแบ่งเป็น 4 ชิ้น ส่วนผสมแป้งใส่ไข่แดง โรยหน้าช็อกโกแลต
อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Bubble waffle กำลังฮิต เป็นของหวานกินกับไอศกรีมและสารพัดท็อปปิ้ง
Bubble waffle (Credit: imperialsugar.com)
Scandinavian waffle ชาวนอร์ดิกชอบกินวาฟเฟิลไม่แพ้ใคร นิยมทรงกลมและรูปหัวใจ ไม่ใส่น้ำตาล กินกับครีมหรือแยม
Hotdog waffle (Credit: laist.com)
Hotdog waffle, Waffle dog, Waffle corn dog คือวาฟเฟิลทรงยาว ด้านนอกผิวเป็นตะแกรงทำจากเตาปิ้งพิเศษเสียบไม้ใส่กรอก เริ่มกินที่ฮาวายโดยชาวญี่ปุ่น ตอนนี้เป็นอาหารประจำเกาะฮาวาย และชาวฟิลิปปินส์ก็ชอบมาก
Croffle (Credit: freepik.com)
Croffle คือครัวซองต์ + วาฟเฟิล กินกับไอศกรีม และเมเปิ้ลไซรัป นิยมมากในเกาหลี บางสูตรให้กินกับใบเบซิล โรยข้าวโพด ชีส กินแบบคาวหรือหวานก็ได้ ความจริงคนต้นคิดจากคาเฟ่แห่งหนึ่งในดับลิน
คนไทยก็ชอบกิน วาฟเฟิล กินเป็นอาหารเช้าและของหวาน พร้อมสร้างสรรค์ได้ไม่รู้จัก ขนมรูปรังผึ้ง ทำแป้งหนาก็ได้บางก็ได้ กินกับเบอร์รี่สดหรือผลไม้ไทยก็เข้ากัน
อาหารเช้าวาฟเฟิล (Credit: womansday.com)
หรือทำเป็นอาหารเช้า วาฟเฟิลกับเบคอน, ไส้กรอก, ไข่ดาว, เนื้อ, ชีส, แซนด์วิชวาฟเฟิลไก่ย่าง, วาฟเฟิลไส้ไข่กับอโวคาโดและผักสด กินฉลอง วันวาฟเฟิล ...
อ้างอิง : chicagowaffles.com, wonderopolis.org