สาวกโต้ "พระบิดา" รุกป่า ยันยังศรัทธาในคำสอน ใจหายหากต้องย้ายออกจากพื้นที่

สาวกโต้ "พระบิดา" รุกป่า ยันยังศรัทธาในคำสอน ใจหายหากต้องย้ายออกจากพื้นที่

สาวก "พระบิดา" ยืนยันไม่ได้บุกรุกป่า ชี้อยู่มานานจากป่าเสื่อมโทรมจนเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ ยันยังศรัทธาในคำสอน เผยใจหายหากต้องย้ายออกจากพื้นที่

วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 ความคืบหน้า "ข่าวพระบิดา" โดยบรรยากาศเช้านี้เงียบเหงา ไม่มีความเคลื่อนไหว ล่าสุดยังไม่เจอตัว "พระบิดา" เจ้าสำนักลัทธิเพี้ยน ที่หลบหนีออกจากพื้นที่ไปหลังได้ประกันตัวจากศาลจังหวัดภูเขียว จ.ชัยภูมิ เมื่อวานนี้

 

 

ผู้สื่อข่าวได้พบกับ นายสมบูรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 65 ปี ชาวบ้านโคกนกกระทา ต.ดงกลาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ หนึ่งในสาวกของ "พระบิดา" เจ้าสำนักลัทธิเพี้ยน ที่มีหน้าที่เลี้ยงวัวและกวางของพระบิดา ได้ออกมายืนยันว่าบริเวณพื้นที่ที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกนี้ ความจริงประมาณ 30-40 ปีก่อน เคยเป็นป่ารกร้างและเสื่อมโทรม มีการก่อสร้างเป็นสำนักสงฆ์ แต่พอหลังสำนักสงฆ์ร้าง พระบิดาก็เข้ามาพำนักในที่แห่งนี้ ช่วยดูแลผืนป่าไม่ให้มีการบุกรุก

 

ไม่นานก็มีชาวบ้านเริ่มทยอยเดินทางเข้ามา เนื่องจากเกิดความศรัทธาในการปฏิบัติตนและการแนะนำอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่กินแบบพอเพียง เช่น เลี้ยงปลาในกระชังบก เลี้ยงกบ เลี้ยงไก่ ปลูกพืชผักไว้รับประทานโดยไม่ต้องซื้อหา ตลอดจนตั้งกลุ่มผลิตสินค้าในสำนักพระบิดา บรรจุห่ออย่างสวยงามส่งขายทั้งออนไลน์ และก็มีพ่อค้าเดินทางเข้ามารับไปขายต่อตามอำเภอต่าง ๆ

 

 

นอกจากนี้ยังได้เลี้ยงวัวแบบฟาร์มปิด ซึ่งวัวก็ได้รับมาจากการบริจาคของผู้ที่มีความศรัทธาเลื่อมใส ตนในฐานะอยู่ในกลุ่มผู้เลี้ยงวัว ยอมรับว่าศรัทธาในคำสอนและคำแนะนำของพระบิดา แต่ยืนยันว่าไม่เคยดื่มกินฉี่เหมือนคนอื่น ส่วนวัวที่นำมาเลี้ยงนี้สามารถขยายพันธุ์และขายทางออนไลน์ไปแล้วประมาณ 3 รุ่น รวมประมาณ 20 ตัว โดยขายในราคา ตัวละ 30,000 บาท ส่วนรายได้ที่ได้จากการขายวัวนั้นก็จะนำมาเป็นเงินกองกลางใช้ในการบริหารจัดการชุมชนของตนเอง

 

"ยืนยันว่าพื้นที่นี้ไม่มีการบุกรุก เพราะพระบิดาได้ขออนุญาตจากกำนันและผู้ใหญ่บ้านอย่างถูกต้อง และไม่ใช่สถานที่ปิดแต่อย่างใด ส่วนทางราชการและบุคคลภายนอกสามารถเข้า-ออกได้ตลอดเวลา หากภาครัฐทำการขับไล่ตนก็พร้อมที่จะกลับออกไปอาศัยอยู่บ้านเดิม ส่วนวัวที่อยู่ในฟาร์มปิดนี้ก็จะพูดคุยกันในกลุ่มเลี้ยงวัวว่าจะบริหารจัดการอย่างไรต่อไป"

 

นายสมบูรณ์ เล่าเพิ่มเติมว่า ตนอยู่มานานจนมีความผูกพันกับพื้นที่แห่งนี้ รู้สึกใจหายทุกครั้งที่เห็นเจ้าหน้าที่เข้ามาเดินสำรวจพร้อมแจ้งตนว่าให้เตรียมเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่กลับภูมิลำเนาเดิม

 

ข่าวโดย วิรัตน์ ดวงแก้ว ผู้สื่อข่าว จ.ชัยภูมิ