สอบเค้น เจ้าของ "ร้านดารุมะ ซูชิ" ปฏิเสธเจตนาฉ้อโกง ตร.ฝากขังวันพรุ่งนี้
ตำรวจกองปราบ เค้นสอบ เจ้าของ "ร้านดารุมะ ซูชิ" สอบปากคำละเอียด ยังปฏิเสธหลอกลูกค้าซื้อคูปอง หลอกขายแฟรนไชส์ แต่การเงินขาดสภาพคล่อง ต้องปิดกิจการและหลบหนีออกนอกประเทศ พนักงานสอบสวนจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวและจะนำตัวฝากขังในวันพรุ่งนี้
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 65 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวจับกุมนายเมธา (สงวนนามสกุล) เจ้าของบริษัท ดารุมะ ซูชิ จำกัด ในคดีที่ผู้เสียหายจำนวนมากซื้อคูปองรับบุฟเฟ่ต์แซลมอน, ตัวแทนลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ จนขยายสาขาได้มากถึง 27 สาขา
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธเจตนาฉ้อโกง อ้างทำธุรกิจ แต่ ด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้การเงินขาดสภาพคล่อง จึงจัดทำคูปองโปรโมชั่น 199 บาท ตั้งแต่เดือน ม.ค. เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในระบบ แต่ต่อมาโดนทวงหนี้จำนวนมาก ไม่สามารถดำเนินกิจกาจต่อได้ ทำให้ต้องตัดสินใจหลบหนีออกนอกประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. ต่อเครื่องที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เดินทางต่อไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ถูกกดดันอย่างหนัก จึงตัดสินใจเดินทางกลับมาที่ประเทศไทย และมาถึงในวันนี้ (21 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. กระทั่งตำรวจสามารถจับกุมตัวได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมเงินติดตัว 20,186 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 710,000 บาท) ก่อนจะพาตัวสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปราม ในชั้นพนักงานสอบสวนจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวและจะนำตัวฝากขังในวันพรุ่งนี้
จากการตรวจสอบขณะนี้พบกระทำผิดเพียงคนเดียว โดยสามารถอายัดเงินในบัญชีได้หลักแสนบาทแต่มูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท จากนี้จะต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินและทรัพย์สินที่เหลือต่อไป คาดว่ายังมีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายพันคน แนะนำเข้าแจ้งความที่กองบังคับการปราบปราม หากไม่สะดวกสามารถแจ้งความได้สถานีตำรวจทุกพื้นที่
ทั้งนี้ตำรวจดำเนินคดี “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาและเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ”