ตำรวจแถลงด่วน! คดีโจรขึ้นบ้านหนุ่มขอนแก่น 3 เดือน 7 ครั้ง

ตำรวจแถลงด่วน! คดีโจรขึ้นบ้านหนุ่มขอนแก่น 3 เดือน 7 ครั้ง

คืบหน้า! คดีโจรขึ้นบ้านหนุ่มขอนแก่น 3 เดือน 7 ครั้ง หลังโพสต์ตัดพ้อสิ้นศรัทธาตำรวจ ล่าสุด ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น ชี้แจงแล้ว

จากกรณีหนุ่มขอนแก่น วัย 31 ปี โพสต์ตัดพ้อสิ้นศรัทธาตำรวจ หลังถูกคนร้ายเข้าไปขโมยทรัพย์สินภายในบ้านถึง 7 ครั้ง ภายในระยะเวลา 3 เดือน แต่คดีไม่คืบหน้า ด้าน ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น ตั้งโต๊ะแถลงด่วนน้อมรับความผิดพลาดเหตุไม่ได้แจ้งความคืบหน้าให้ผู้เสียหายทราบ ลั่นพร้อมดูแลประชาชนเต็มที่

 

 

เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 6 กรกฎาคม 2565 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น พ.ต.อ.ไพโรจน์ ไทยพุทธา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปรีชาเก่ง สาริกิจ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ ผิวผุย หัวหน้า สภ.ย่อยเมืองเก่า จ.ขอนแก่น และตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกันแถลงข่าวกรณีที่นายนิธิพันธ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ชาวบ้านบ้านดอนบม หมู่ 13 ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น ร้องเรียนผ่านเพจเฟซบุ๊ก "Drama-addict" โดยได้โพสต์ภาพและข้อความร้องเรียนและขอความช่วยเหลือ หลังจากบ้านถูกคนร้ายเข้าไปขโมยทรัพย์สิน 6 ครั้ง ในช่วง 3 เดือน และยังจับคนร้ายไม่ได้ โดยระบุว่า

 

"ผมโดนโจรขึ้นบ้าน 6 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2565 จนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ของหายหลายอย่าง จนล่าสุดโดนโจรตัดสายไฟแล้ว อยู่ไม่ไหว ได้มาเช่าห้องพักอยู่ แจ้งความก็ไม่มีความคืบหน้าเลยครับ ทั้ง ๆ ที่ สภ.ย่อย ห่างจากบ้านผมแค่ 1 กิโลเมตรกว่า ๆ รบกวนจ่าเป็นกระบอกเสียงให้ผมหน่อยครับ" พร้อมกับมีการให้รายละเอียดในวันเวลาที่ถูกโจรขึ้นบ้านและทรัพย์ที่สูญหาย ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

ตำรวจแถลงด่วน! คดีโจรขึ้นบ้านหนุ่มขอนแก่น 3 เดือน 7 ครั้ง

 

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.ต.อ.ไพโรจน์ ไทพุทรา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น และ พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ได้ร่วมแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า จากกรณีที่ผู้เสียหายได้มีการร้องเรียนผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อดังและร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน กรณีที่ถูกคนร้ายเข้าไปขโมยเอาทรัพย์สินภายในบ้านพักอาศัยหลายครั้ง แต่เมื่อไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.ย่อยเมืองเก่า จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่มีการดำเนินการใด ๆ ซึ่งขอชี้แจงว่า

 

ในเรื่องที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุทั้งหมด 4 ครั้ง แต่ละครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ลงพื้นที่ไปดูที่เกิดเหตุ และไปดูจุดต่าง ๆ ที่เป็นร่อยรอยของคนร้ายเพื่อเก็บหลักฐานและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาเก็บข้อมูล โดยจากการตรวจสอบพบว่า ผู้เสียหายได้มีการแจ้งความไว้ทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 17 มี.ค. 2565 โดยผู้เสียหายแจ้งว่ามีคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ในช่วงที่ผู้เสียหายออกไปทำงานและไม่มีคนอยู่บ้าน โดยเหตุเกิดในช่วงเวลาประมาณ 07.30 - 14.00 น. มีทรัพย์สินถูกคนร้ายเข้ามาขโมย ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ยี่ห้อ เอซุส สีดำแดง จำนวน 1 เครื่อง ราคาประมาณ 23,000 บาท ไอแพด สีเทา จำนวน 1 เครื่อง ราคาประมาณ 10,000 บาท ซึ่ง ร.ต.อ.ยงยุทธ สะเคา พนักงานสอบสวน สภ.ย่อยเมืองเก่า ได้ตรวจที่เกิดเหตุร่วมกับชุดสืบสวน พร้อมกับรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ไว้

 

กระทั่งวันที่ 18 มี.ค. 2565 ได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่บ้านดอนบม ต.เมืองเก่า ใกล้กับบ้านหลังเกิดเหตุ ปรากฏภาพบุคคลต้องสงสัยสะพายย่ามเดินผ่านบริเวณใกล้บ้านหลังเกิดเหตุ จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบค้นหาสิ่งของที่ผู้เสียหายอ้างว่าหายไป แต่พบว่าสิ่งของที่อยู่ในย่ามเป็นมีดพร้า จึงได้นำตัวผู้ต้องสงสัยไปแสดงความบริสุทธิ์ใจกับผู้เสียหายที่บ้านด้วย ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุอยู่ระหว่างการติดตามตัวมาสอบสวนดำเนินคดี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งตำหนิรูปพรรณของทรัพย์สินที่หายไปให้โรงรับจำนำได้ช่วยสังเกต เพื่อเป็นเบาะแสในการติดตามตัวคนร้าย

 

พ.ต.อ.ปรีชา กล่าวต่อว่า จากนั้นได้เกิดเหตุขึ้นเป็นครั้งที่ 2 โดยคนร้ายได้เข้ามาภายในบริเวณบ้าน ซึ่งขณะนั้นไม่มีคนอยู่ แต่ผู้เสียหายได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดซ่อนเอาไว้ภายในตัวบ้าน จึงสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะที่คนร้ายกำลังทำการงัดประตูเข้ามาในบ้าน ซึ่งหลังจากที่ผู้เสียหายทราบก็ได้แจ้งมาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ย่อยเมืองเก่า ก่อนจะจัดกำลังเจ้าที่ตำรวจไปควบคุมตัวคนร้าย ทราบชื่อคือนายชัชวาล (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ชาว ต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น มาดำเนินคดี โดยแจ้งข้อหาบุกรุกเคหะสถานและทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งในคดีนี้ได้มีการดำเนินคดีไปแล้ว อยู่ระหว่างการส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

ส่วนในครั้งที่ 3 เป็นการรับแจ้งความ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นการรับแจ้งความใน 2 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์ในวันที่ 28 มิ.ย. 2565 ที่คนร้ายเข้าไปลักตัดสายไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ตัวบ้าน ความยาวประมาณ 100 เมตร และเหตุการณ์ในวันที่ 29 มิ.ย. 2565 คนร้ายได้ขโมยเอาลำโพง จำนวน 1 ตัว ราคาประมาณ 1,000 บาท , กล้องวงปิด จำนวน 1 ตัว ราคาประมาณ 1,200 บาท และถังแก๊สขนาด 5 ลิตร จำนวน 1 ถัง ราคาประมาณ 2,500 บาท ซึ่งหลังรับแจ้งความ พนักงานสอบสวน ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุร่วมกับชุดสืบสวน โดยได้สอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ใกล้เคียง มีการทำตำหนิรูปพรรณทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปแจ้งโรงรับจำนำให้ช่วยสังเกต พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเก็บลายนิ้วมือแฝงในที่เกิดเหตุ ซึ่งคดีนี้ยังไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นผู้ใด อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน

 

จากนั้นในครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 2 ก.ค. 2565 เวลาประมาณ 12.40 น. โดยมีคนร้ายเข้ามาลักตัดเอาต้นไม้ จำนวน 2 ต้น ภายในบริเวณบ้านของผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางไปตรวจสอบและควบคุมตัวผู้ก่อเหตุ ทราบชื่อคือ นายน้อย (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง) เป็นผู้ป่วยจิตเวชที่ผ่านการเข้ารับการรักษาอาการจนดีขึ้นแล้ว และกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของผู้เสียหาย แต่ก็มักจะมีพฤติกรรมเข็นรถซาเล้งพร้อมมีดพร้าไปตัดต้นไม้ตามสถานที่ต่าง ๆ มาทำฟืน ในวันเกิดเหตุเห็นว่าบ้านของผู้เสียหายมีต้นไม้เยอะและไม่มีคนอยู่จึงได้เข้าไปตัดต้นไม้ ซึ่งต่อไปก็จะมีการนำตัวมาสอบสวนดำเนินคดี

 

พ.ต.อ.ปรีชา กล่าวอีกว่า หลังจากที่เกิดเหตุคนร้ายเข้าไปลักลอบตัดสายฟ้าที่บ้านของผู้เสียหาย ก็ได้มีการสั่งการให้ชุดสืบสวน สภ.ย่อยเมืองเก่า ตรวจสอบประวัติผู้ต้องสงสัยในบัญชีอาชญากรรม โดยเฉพาะผู้ที่เคยต้องหาในคดีเกี่ยวกับการลักรอบตัดสายไฟฟ้า พร้อมกับลงพื้นที่สืบสวนหาข้อมูล

 

กระทั่งในวันที่ 3 ก.ค. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว นายเวนิชย์ หรือ ลด สีดำมวล ผู้ต้องหาที่ลักตัดสายไฟฟ้า ซึ่งเป็นแก๊งลักลอบตัดสายฟ้าอีกแก๊งหนึ่ง ได้พร้อมของกลางคือ ขดลวดโลหะคล้ายทองแดง จำนวน 9 ขด น้ำหนักรวม 2 กิโลกรัม , สายนำสัญญาณสื่อสารโทรศัพท์ จำนวน 1 ม้วน ยาวประมาณ 100 เมตร , มีดตัดสายสัญญาณ จำนวน 2 เล่ม , ถุงมือ จำนวน 1 คู่ , รถจักรยาน 2 ล้อ จำนวน 1 คัน , ครีมตัดเหล็ก จำนวน 1 อัน , ถุงผ้าสำหรับใส่อุปกรณ์ จำนวน 1 ถุง โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณป่าด้านทิศตะวันออกโรงเรียนแห่งหนึ่ง ริมถนนเลี่ยงเมืองบ้านดอนบม ต.เมืองเก่า อ.เมืองขอนแก่น จึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ย่อยเมืองเก่า แจ้งข้อกล่าวหาว่า "ลักทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือรับของโจร" โดยอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลว่าผู้ต้องหารายนี้เป็นคนเดียวกันที่ก่อเหตุในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2565 หรือไม่ แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนจึงนำตัวฝากขังที่ศาลจังหวัดขอนแก่น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม

 

ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาหลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการดำเนินการเพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุในทุกวิถีทาง เพียงแต่ว่าไม่ได้มีการประสานงานและแจ้งข้อมูลให้ผู้เสียหายได้ทราบเท่าที่ควร จึงอาจทำให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนิ่งเฉย โดยเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ก็ได้โทรศัพท์สอบถามผู้เสียหายว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการประสานงานเพื่อแจ้งความคืบหน้าทางคดีให้ทราบหรือไม่ ผู้เสียก็บอกว่าได้รับแจ้งบ้างในบางครั้ง แต่ไม่ได้มีการแจ้งเกี่ยวกับรายละเอียดของคดี

 

ในวันเดียวกันจึงได้มีการเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง โดยได้สั่งการว่าต่อไปจะต้องทำตามคำสั่ง ตร. ที่ 419/2556 คือ พนักงานสอบสวนที่ได้รับเรื่องร้องทุกข์แต่ละคดี หลังจากที่ได้รับแจ้งลงบันทึกคดีครั้งแรกทุก ๆ 30 วัน จะต้องแจ้งความคืบหน้าทางคดีให้ผู้เสียหายทราบ และหลังจากนั้นอีก 60 วัน ก็จะต้องแจ้งรายละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะก่อนที่จะสรุปสำนวนส่งไปยังพนักงานอัยการก็จะต้องแจ้งให้ผู้เสียหายได้รับทราบ โดยจะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด

 

ในกรณีนี้ยอมรับว่าเห็นใจผู้เสียหาย เพราะก่อนที่ผู้เสียหายจะมาอยู่ที่ จ.ขอนแก่น ก็เคยไปทำงานอยู่ที่ จ.ระยอง และกลับมาอยู่บ้านที่ จ.ขอนแก่น ก็ต้องมาเจอกับเหตุการณ์น้ำท่วมจนต้องขนย้ายสิ่งของขึ้นไปอยู่บนบ้าน กระทั่งต้องย้ายออกจากบ้านไปเช่าห้องพักอยู่ในเมืองขอนแก่นก็ยิ่งน่าเห็นใจ แต่ในส่วนของตำรวจนั้นก็อยากชี้แจงว่าไม่ได้มีการนิ่งนอนใจ ที่ผ่านมาเรื่องการสื่อสารหรือการประชาสัมพันธ์อาจจะน้อยไป ซึ่งในส่วนนี้ก็น้อมรับที่จะนำไปปรับปรุงแก้ไข และกรณีนี้จะเป็นกรณีสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหากพี่น้องประชาชนติดขัดในเรื่องการอำนวยความสะดวกหรือความยุติธรรม ขอให้มาหาผู้กำกับฯ ทุกคดีจบหมดและได้รับการอำนวยความสะดวกเต็มที่

 

ข่าวโดย กฤศเมธ โลโห จ.ขอนแก่น