อัปเดต "พ.ต.ต." ฉาว! ลา 5 วัน "ทนายตั้ม-ดาราสาว" แจ้งจับคดีอนาจาร "นครบาล" แถลงล่าสุด
คืบหน้า! คดีดัง สารวัตร "พ.ต.ต." ฉาว ลาหยุด 5 วัน พิษ ทนายตั้ม-ดาราสาว ใจบัว ฮิดดิง แจ้งจับอนาจาร หากพบว่ามีความผิด โทษสูงสุดถึงขั้นไล่ออกจากทางราชการ "นครบาล" แถลงชี้แจงล่าสุด
ผกก. เผยตำรวจยศ "พ.ต.ต." คู่กรณีอนาจารดาราสาว "ใจบัว ฮิดดิง" ลาหยุด 5 วัน ขอเคลียร์คดีผู้เสียหาย-ทนายตั้ม เจ้าตัวแจงไม่เคยรู้จักกันมาก่อน รับดื่มเหล้ากันทั้งคู่ เบื้องต้นยังไม่ปฎิเสธหรือสารภาพว่าเกิดเหตุอะไรบ้าง ขณะที่แม่ค้าหน้าโรงพัก เผยเคยเจอหน้าพูดคุยด้วย เป็นคนสุภาพ-เรียบร้อย เพิ่งย้ายมาไม่นาน
ความคืบหน้าคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯพา "ดาราสาว" ผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดสารวัตร ยศ "พ.ต.ต." สน.ย่านบางพลัด กทม. ในข้อหาลวนลามอนาจาร ในพื้นที่ สน.คันนายาว
ล่าสุดทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสุชีรา แม่ค้าหน้าโรงพัก สน.ย่านบางพลัด เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับสารวัตรคนที่ตกเป็นข่าว และเคยพูดคุยกันบ้าง พบว่าเขาเป็นคนน่ารัก สุภาพ เรียบร้อย และพูดน้อย พอรู้ข่าวก็รู้สึกตกใจว่าเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร เพราะเขาก็เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ส่วนตัวไม่เชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น และคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว
นอกจากนี้ ทีมข่าวเนชั่นยังได้ข้อมูลจาก ผู้กำกับการ สน.ย่านบางพลัด ในฐานะผู้บังคับบัญชา เปิดเผยว่า ตนทราบเรื่องราวนี้หลังจากทางตำรวจ สน.คันนายาว ได้ประสานมาหา เพื่อสอบถามข้อมูล ตนจึงรีบโทรศัพท์ไปสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาทันที ก่อนทราบเพียงรายละเอียดเบื้องต้นว่า ตัวเขาไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน รวมถึงไม่รู้จักว่าเป็นดารา แต่ยอมรับว่าผู้หญิงหน้าตาดี และเป็นเพื่อนของเพื่อนเจ้าของบ้านทั้งคู่ ซึ่งในวันเกิดเหตุได้นัดไปสังสรรค์กันที่บ้านหลังดังกล่าว ย่านคู้บอน แต่เจ้าตัวไม่ได้ปฎิเสธหรือรับสารภาพกับเหตุการณ์นี้
"เมื่อวานนี้ทางสารวัตรคนนี้ ได้ยื่นหนังสือขอลาหยุด 5 วัน นับตั้งแต่วันที่ 4 - 8 สิงหาคมนี้ ก่อนจะกลับมาทำงานในวันที่ 9 สิงหาคม โดยจะขอไปพูดคุยกับฝ่ายทนายตั้มและผู้เสียหาย เพราะเจ้าตัวยังรู้สึกงง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีกันได้อย่างไร พร้อมยอมรับว่า วันเกิดเหตุได้มีการดื่มเหล้าด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย"
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งถ้าหากพบว่ามีความผิด โทษสูงสุดถึงขั้นไล่ออกจากทางราชการ
ล่าสุด พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. แถลงความคืบหน้ากรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิดหรือทนายตั้มได้พาดาราสาว เข้าพบ ผกก.สน.คันนายาว ที่มีการระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับ สว. กระทำอนาจารดาราสาวรายดังกล่าวที่บ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่ สน.คันนายาว เรื่องนี้ทางด้าน พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ได้มีการกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายอย่างเคร่งคัด
“ในเบื้องต้นเมื่อวานที่มีการเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว ซึ่งพนักงานสอบสวนได้มีการสอบปากคำ และให้ผู้เสียหายประสานเพื่อนอีกคนเข้ามาสอบปากคำเพื่อเป็นพยานในคดี ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ส่วนผู้ถูกกล่าวหาได้มีการประสานให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาภายในวันนี้ โดยข้อหาที่แจ้งคือ ข้อหากระทำอนาจารแก่บุคคลอายุ 15 ปีขึ้นไป”
พล.ต.ต.จิรสันต์ เปิดเผยอีกว่า ส่วนการสอบวินัย ทาง ผกก.สน.บางพลัด ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ถ้าปรากฎว่าการกระทำดังกล่าวมีมูลความจริง ก็จะดำเนินการอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีความผิดโทษวินัยสูงถึงไล่ออกจากราชการ ซึ่งการสอบทางวินัย และอาญาจะแยกกันโดยชัดเจน แต่ผลการพิจารณาคดีอาญาจะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาโทษทัณฑ์
สำหรับผู้ถูกกล่าวหา จากการสอบถามจากผู้บังคับบัญชาเบื้องต้น ยอมรับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุดังกล่าวจริง แต่พฤติกรรมที่ถูกกล่าวหายังไม่ได้มีการลงรายละเอียด ทั้งนี้ไม่เคยมีประวัติถูกร้องเรียนในลักษณะนี้ โดยเมื่อวานนี้ทางเจ้าตัวได้มีการยื่นขอลาตามสิทธิจำนวน 5 วัน เพื่อไปดำเนินการเรื่องคดีนี้ ทั้งในเรื่องการรับทราบข้อกล่าวหา หรือการเข้าไปพบผู้กล่าวหา ส่วนเรื่องการโยกย้ายไปช่วยราชการอยู่ระหว่างการพิจารณา
“คดีนี้เป็นคดีที่สามารถยอมความได้ แต่จะยอมความหรือไม่เป็นสิทธิของผู้ต้องหา ส่วนจะมีการลงโทษผู้บังคับบัญชาของนายตำรวจรายดังกล่าวหรือไม่ อยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากเท่าที่สอบปากคำเบื้องต้นพบนายตำรวจดังกล่าวเดินทางไปในเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด”
พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียหายที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ หากผู้เสียหายกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ให้แจ้งมาที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมที่จะให้ความคุ้มครอง
“ยอมรับว่าทุกองค์กร มีทั้งคนดีและไม่ดี ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาได้พยายามจัดทำโครงการอบรม สร้างวินัย ปลูกฝังจริยธรรมให้เป็นที่พึ่งให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่งเชื่อในข้าราชการตำรวจกว่า 90% อยู่ในกรอบคุณธรรมและจริยธรรม และเป็นที่พึ่งพาให้กับพี่น้องประชาชน”