ท่าทีรัฐบาลไทย ต่อสถานการณ์ในอิสราเอล

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์มีมานาน รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องในคู่ขัดแย้งที่มีความซับซ้อน ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยค่อนข้างมีจุดยืนเป็นกลาง จึงค่อนข้างน่าประหลาดใจที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้ออกมาประณามการโจมตีอิสราเอล หลังเกิดเหตุจรวดโจมตีจากฉนวนกาซาไปยังหลายพื้นที่ในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2566 พร้อมแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับรายงานที่มีคนไทยในอิสราเอลถูกคนร้ายจับกุมตัว ถึงแม้ภายหลังจะออกมาแก้ว่าไม่ใช่การประณามกลุ่มฮามาส แต่เป็นการประณามเหตุความรุนแรง

ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลไทย โดยปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ถึงความพยายามในการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกัน พร้อมกับการเจรจาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการอพยพคนไทยกลับจากอิสราเอล ซึ่งข้อมูลล่าสุดมีคนไทยในอิสราเอลที่แจ้งความประสงค์ในการเดินทางกลับประเทศไทยแล้วมากกว่า 6,000 คน

สถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยควรดำรงสถานะความเป็นกลาง โดยต้องการความร่วมมือกับอิสราเอลในการอำนวยความสะดวกการอพยพคนไทยกลับประเทศ รวมทั้งต้องหาทางช่วยเหลือตัวประกันคนไทยที่ยังถูกจับกุม ดังนั้นการแสดงท่าทีของรัฐบาลในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกในเรื่องใดจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อยึดผลประโยชน์ของประเทศไทยในการดูแลคนไทยให้ดีที่สุดเท่าที่รัฐบาลจะดำเนินการได้

ความคืบหน้าในการอพยพคนไทยกลับจากอิสราเอลมีเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากเดิมเดินทางด้วยสายการบินในตะวันออกกลาง โดยล่าสุดจะใช้การบินไทยเป็นสายการบินหลักในการอพยพคนไทย ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ประสานความร่วมมือไว้พร้อม โดยให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการรวบรวมคนไทยและสรุปจำนวนและสถานที่นัดหมายรับคนไทย เพื่อกำหนดแผนการบินให้กับสายการบินทราบต่อไป ซึ่งพร้อมนำคนไทยกลับมาได้เที่ยวบินละ 250-290 คน

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เป็นอีกประเด็นของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ประเทศไทยจำเป็นต้อง โดยเฉพาะการดูแลการอพยพคนไทยกลับประเทศและการช่วยเหลือตัวประกันคนไทย ซึ่งต้องดำเนินการให้รวดเร็วสอดคล้องสถานการณ์ และตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง เพราะรัฐบาลอิสราเอลมีท่าทีในการตอบโต้ด้วยความรุนแรง และรัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลในระดับที่เปิดเผยได้ให้กับญาติคนที่เสียชีวิตและถูกจับกุมได้ทราบชะตากรรม