'มพช.' แจงไม่แอบอ้าง 'ส.อ.ท.' ขอทุนวิจัย
ประธานมูลนิธิพลังงานสะอาด แจงข่าวอ้างชื่อ "ส.อ.ท." ขอทุนวิจัย ระบุ เดินเรื่องขอทุนจากหน่วยงาน อว. หวังพัฒนาระบบซอฟท์แวร์ หนุนงาน ส.อ.ท.-กระบวนการโปร่งใส
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานคณะกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน (มพช.) แถลงชี้แจงต่อกกรณีถูกพาดพิงว่าได้อ้างชื่อ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ขอทุนเพื่อทำวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) หน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งถูกมองว่าเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนและขัดหลักธรรมาภิบาล
โดยนายสุวิทย์ แถลงยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีพันธะผูกพันความรับผิดชอบของ ส.อ.ท. ใดๆ ทั้งสิ้น โดยมพช. ถือเป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายภาครัฐและเอกชนเรื่องพลังงานหมุนเวียน รวมถึงส่งเสริม สร้างความตระหนักเรื่องประโยชน์จากการใช้พลังงานหมุนเวียนให้กับประชาชน โดยมูลนิธิฯ ได้ก่อตั้งอย่างเปิดเผย สำหรับการดำเนินการของมูลนิธิฯ ที่ผ่านมาได้ร่วมกับสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี100) ผลักดันจัดตั้งสถาบันการจัดการการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ของ ส.อ.ท. เมื่อ 22 ธันวาคม 2564 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สถาบัน CCI เมื่อ 31 พฤษภาคม 2565 เพื่อการสร้างตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต และตั้งบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ คือ บริษัท บล็อกฟินท์ จำกัด เพื่อบริหารจัดการระบบ GIDEON ให้ ส.อ.ท. ใช้งาน โดยไม่เก็บค่าไลเซ่นโดยบล็อกฟินท์ ยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์
นายสุวิทย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการขอทุนจาก บพข. นั้น บริษัท บล็อกฟินท์ จึงขอให้มูลนิธิพลังงานสะอาด ช่วยเป็นแกนในการขอทุนจาก บพข. จึงระบุข้อมูลตามความเป็นจริงว่า โครงการนี้ทำเพื่อพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อสนับสนุนงานให้กับ ส.อ.ท. เนื่องจาก ส.อ.ท.ไม่มีงบประมาณ และที่ผ่านมาไม่เป็นจ้าของลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการบริหารจัดการตลาดซื้อขาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เป็นการแอบอ้างชื่อเพื่อขอรับทุน ทั้งนี้ บพข. ได้ตอบเป็นหนังสือลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ และวันที่ 20 มีนาคม 2567 มาที่มูลนิธิฯ ยืนยันว่า บพข.ได้มีกระบวนการพิจารณาสนับสนุนทุนวิจัยอย่างเป็นระบบโปร่งใส ทาง บพข. จึงได้ทำสัญญาให้ทุนกับมูลนิธิฯ
“มูลนิธิพลังงานสะอาด สมาคมอาร์อี100 และกลุ่มพลังงานหมุนเวียน ตั้งใจขับเคลื่อนเรื่องพลังงานหมุนเวียน เพื่อประโยชน์ของสมาชิก ส.อ.ท. และประเทศชาติโดยรวม จึงไม่ควรมีใครเอาเรื่องนี้มาเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิด ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง และจะมีผลให้การขับเคลื่อนในเรื่องพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิตต้องล่าช้า เสียโอกาส เสียความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดการค้าโลก” นายสุวิทย์ กล่าว