ทำไมองค์กรเอกชนขนาดใหญ่มักถูกตำหนิ ความท้าทายยุคใหม่ธุรกิจไทย

องค์กรที่มีขนาดใหญ่ หรือ เป็นผู้นำอุตสาหกรรม หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นเป้าที่ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ แม้บางครั้งความผิดพลาดไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวบริษัทแม่
บริษัทที่เป็นผู้นำจะเป็นเป้าหมายการถูกวิพากษ์ วิจารณ์ โดยเฉพาะ ในยุคที่ข้อมูลแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและความคาดหวังของสังคมสูงขึ้น
ความคาดหวังที่สูงต่อองค์กรใหญ่ ที่มากกว่าแค่การทำตามกฎหมาย ซึ่งการทำมากกว่ากฎหมายก็ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ขยับตัวยากขึ้น เสียเปรียบในการแข่งขันในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้ในฐานะองค์กรขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรและอิทธิพลทางเศรษฐกิจมาก สังคมมักคาดหวังให้บริษัทมีบทบาทในการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่แค่การทำกำไร แต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมโดยรวม ความคาดหวังนี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่แนวคิดเรื่อง ESG (Environmental, Social, and Governance) กลายเป็นมาตรฐานสำคัญของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน หรือมีเหตุการณ์ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่น ก็จะถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ความแข่งขันระหว่าง “บริษัทไทย (ยักษ์เล็ก)” และ “บริษัทต่างชาติ (ยักษ์ใหญ่)”
องค์กรขนาดใหญ่ของไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้มักได้รับการชื่นชมจากผู้บริโภคในไทย เนื่องจากมีภาพลักษณ์ที่ดีในระดับโลก ทั้งในเรื่องคุณภาพสินค้า การตลาด และนวัตกรรม ในขณะที่บริษัทไทยอาจถูกมองว่าเป็น “นายทุนเก่า” หรือ “ผูกขาดตลาด” ส่งผลให้เกิดกระแสสนับสนุนบริษัทต่างชาติมากกว่าบริษัทในประเทศ ซึ่งเป็นความท้าทายที่องค์กรไทยต้องรับมือ ในขณะที่บางบริษัทต่างชาติขายสินค้าในไทยแต่ไม่เคยจ่ายภาษี สำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศ แต่คนไทยเลือกที่จะรักแบรนด์ต่างชาติมากกว่า และหากเทียบขนาด บริษัทไทยแทบเทียบไม่ติด ในขณะที่บริษัทต่างชาติผูกขาดสินค้าและบริการในไทย แต่คนไทยเลือกตำหนิบริษัทไทย แต่ไม่ตำหนิบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคที่ย้อนไปดูจะพบว่าส่วนใหญ่จะต่อสู้กับบริษัทไทย
กฎระเบียบที่ไม่เป็นธรรมและการได้เปรียบของบริษัทต่างชาติ
หลายบริษัทไทยมองว่า กฎระเบียบและหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศกลับไม่สนับสนุนบริษัทท้องถิ่นเท่าที่ควร ในบางกรณี บริษัทต่างชาติสามารถดำเนินธุรกิจได้โดยมีข้อได้เปรียบ เช่น การได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี หรือเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์มากกว่าบริษัทไทย
นอกจากนี้ ระบบราชการที่ซับซ้อนและการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ยิ่งทำให้บริษัทไทยต้องแข่งขันในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม เช่น การออกกฎระเบียบบังคับเฉพาะบริษัทไทย หรือการบังคับแค่บางบริษัท ทำให้แข่งขันไม่ได้ หรือไม่เกิดความเท่าเทียม
บทบาทของ NGO กับการต่อต้านบริษัทใหญ่
องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) หลายแห่งมุ่งเน้นการตรวจสอบและกดดันบริษัทขนาดใหญ่ เพราะถือว่าเป็นตัวแทนอุตสาหกรรม นอกจากนี้การฟ้องร้องกับบริษัทใหญ่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้คุ้มค่า โดยเฉพาะในประเด็นสิ่งแวดล้อม แรงงาน และสิทธิมนุษยชน แม้ว่าบริษัทใหญ่จะเป็นแหล่งจ้างงานและเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ของประเทศ แต่หากมีกระแสเชิงลบเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อม บริษัทเหล่านี้ก็มักตกเป็นเป้าของการเคลื่อนไหวและการประท้วง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ยุคนี้คือยุคโซเชียลมีเดีย ที่มีพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่มีการควบคุม สื่อสังคมออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มที่มีพลังในการสร้างกระแสความคิดของสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็มักเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยคอมเมนต์เชิงลบ ซึ่งอาจเป็นทั้งความคิดเห็นที่สร้างสรรค์และการโจมตีที่ไร้เหตุผล บางครั้งกระแสในโซเชียลมีเดียอาจนำไปสู่การบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักโดยไม่สามารถชี้แจงได้ทันการณ์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง
แนวทางองค์กรยุคใหม่ในการบริหารความคาดหวังของสังคม เพื่อให้บริษัทขนาดใหญ่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและเป็นที่ยอมรับจากสังคม องค์กรจำเป็นต้องปรับตัวและบริหารความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียให้เกิดความสมดุล
• สร้างความโปร่งใส: การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงาน นโยบายด้านความยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสังคม จะช่วยลดความคลางแคลงใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน
• มีปฏิสัมพันธ์กับสังคม: บริษัทต้องรับฟังเสียงของประชาชน และสร้างช่องทางสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การประชาสัมพันธ์ แต่ต้องเป็นการสื่อสารที่จริงใจ
• สร้างคุณค่าให้กับประเทศ: นอกจากการทำธุรกิจเพื่อผลกำไรแล้ว องค์กรควรแสดงให้เห็นถึงบทบาทในการพัฒนาสังคม เช่น การสร้างงาน การพัฒนาชุมชน หรือการส่งเสริมอุตสาหกรรมท้องถิ่น
• บริหารจัดการโซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพ: แทนที่จะเป็นฝ่ายถูกโจมตีเพียงอย่างเดียว บริษัทควรมีกลยุทธ์เชิงรุกในการจัดการกระแสในโซเชียลมีเดีย เช่น การตอบกลับอย่างรวดเร็ว การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และการมีส่วนร่วมในประเด็นสังคมอย่างสร้างสรรค์
• การทำงานร่วมกับภาครัฐและ NGO: การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนจะช่วยลดแรงต่อต้าน และทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างทุกฝ่าย
แม้ว่าองค์กรเอกชนขนาดใหญ่จะเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากหลายด้าน แต่หากสามารถปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ก็จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน การบริหารความคาดหวังของสังคมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากบริษัทสามารถสร้างสมดุลระหว่างผลกำไร ความรับผิดชอบ และการสื่อสารกับสังคม ก็จะสามารถเปลี่ยนจากการเป็น “ผู้ถูกตำหนิ” มาเป็น “องค์กรที่ได้รับการยอมรับ” ได้ในที่สุด