เช็คฟิตหัวหอก'สเตอร์ริดจ์' หงส์คึกวัดแชมป์เชลซี

"หงส์แดง" สุดคึกก่อนทำศึกนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เหลือลุ้นแค่ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ คนเดียว
"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สุดคึกก่อนทำศึกนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี เหลือลุ้นแค่ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ เพียงคนเดียว หากคว้า 3 แต้ม โอกาสแชมป์สูง ขณะที่ทีมเยือนปัญหาเยอะทั้งเจ็บทั้งแบน ต้องชนะสถานเดียวเพื่อโอกาสลุ้นต่อ ขณะที่แมนฯ ซิตี ยังเจ็บระนาวไปเยือน คริสตัล พาเลซ
ศึกพรีเมียร์ลีกนัดวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จ่าฝูงที่มี 80 แต้มจาก 35 นัด จะเปิดสนามแอนฟิลด์พบ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี รองจ่าฝูง ที่มี 75 แต้ม เวลา 20.05 น. โดยก่อนเกมนี้ ลิเวอร์พูล กำลังคึกคักกันสุดขีด จากการนำห่างอยู่ 5 แต้ม และเรื่องตัวผู้เล่นก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไร หากคว้าชัยชนะในนัดนี้ได้ก็น่าจะคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะจะนำห่าง เชลซี เป็น 8 แต้ม ในการแข่งขันที่เหลืออีก 2 นัด จะเป็นการตัด เชลซี ออกจากการลุ้นแชมป์ทันที
ในส่วนของตัวผู้เล่น เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มีความพร้อมเป็นอย่างมาก การจัดทีมชุดใหญ่เหลือลุ้นเพียงแค่ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่ต้องลุ้นทดสอบความฟิตจากอาการที่เอ็นหลังหัวเข่าเพียงคนเดียว หากว่ายังไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังมี 3 ประสานแนวรุกอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ, เฟลิเป คูตินโญ และราฮีม สเตอร์ลิง พร้อมลงสนามอยู่แล้ว ขณะที่แดนกลางยังคงความรัดกุมด้วยการใช้ สตีเวน เจอร์ราร์ด, ลูคัส เลวา และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ส่วนแนวรับ ดาเนียล แอ็กเกอร์ ที่ฟิตเต็มที่น่าจะกลับมาเป็นตัวจริง
ฝั่งเชลซี ที่เกมนี้ต้องชนะสถานเดียวเพื่อให้ได้ลุ้นแชมป์ต่อในช่วง 2 นัดสุดท้าย แต่ทีมของ ชูเซ มูรินโย ก็มีปัญหาอย่างมากมาย เรื่องความสดก็เป็นรองจากการไปเยือน แอต.มาดริด มาเมื่อกลางสัปดาห์ รวมทั้งยังมีผู้เล่นบาดเจ็บเพิ่มขึ้นทั้ง จอห์น เทอร์รี และปีเตอร์ เช็ก เกมนี้ยังไม่สามารถกลับมาลงสนามได้ทั้งคู่ ด่านสุดท้ายต้องใช้ มาร์ค ชวาร์เซอร์ และตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กต้องปรับเอา ดาวิด ลุยซ์ ลงสนามมาแทน
แดนกลางจะไม่มี รามิเรส ที่ติดโทษแบนทำให้ เนมันยา มาติช ที่ไม่ได้เล่นเกมยุโรปจะกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง ร่วมกับ แฟรงค์ แลมพาร์ด ในขณะที่ จอห์น โอบี มิเกล ก็น่าจะได้ลงสนามต่อไป และมูรินโญ ยังอาจจะส่ง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่มีความเร็วสูงลงมาเป็นทีเด็ดในเกมโต้กลับ เนื่องจาก เอดอง อาซาร์ด ที่หายเจ็บแล้วอาจจะยังไม่ฟิตเต็มที่ ขณะที่แดนหน้า ซามูเอล เอโต ยังไม่น่าจะกลับมาลงสนามได้ ตัวหัวหอกอาจจะปรับมาเป็น เดมบา บา ที่มีความสดมากกว่า เฟอร์นันโด ตอร์เรส
ขณะที่เวลา 22.10 น. "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี ทีมอันดับ 3 ที่มี 74 แต้มจาก 34 นัดจะไปเยือน "อินทรีผงาด" คริสตัล พาเลซ ที่รอดพ้นการตกชั้นแน่นอนแล้ว ซึ่งแมนฯ ซิตี ต้องการชัยชนะและลุ้นผลให้ลิเวอร์พูล ไม่ชนะ เชลซี จะได้ลุ้นแชมป์จนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล แต่ มานูเอล เปเยกรินี กุนซือทีมเยือนมีปัญหากับตัวหลักหลายคน ดาวิด ซิลบา กับ เฆซุส นาบาส ต้องพักจากอาการบาดเจ็บเช่นเดียวกับ มาติยา นาสตาซิช ในแนวรับ รวมทั้งต้องลุ้นทดสอบความฟิตของ ยายา ตูเร กองกลางตัวเก่ง ขณะที่เจ้าถิ่นมีลุ้นความฟิตแค่ มารูยาน ชามัคห์ เพียงคนเดียว
เกมอีกคู่ในเวลา 18.00 น. "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ จะพบกับ "มังกรแดง" คาร์ดิฟฟ์ เป็นเกมที่ทั้งสองทีมต้องแย่งแต้มเพื่อลุ้นหนีตกชั้น ซันเดอร์แลนด์ มีอยู่ 29 แต้มเป็นทีมบ๊วย ขณะที่คาร์ดิฟฟ์ มีมากกว่า 1 แต้ม แต่หากทีมใดคว้า 3 แต้มได้ ก็มีโอกาสลุ้นหนีโซนอันตรายได้ทันที