รอยสตั๊ด : เสื้อทีมชาติไทยแต่ละยุค

 เข้ามาจัดการเรื่องชุดแข่งขันตั้งแต่ทีมชาติชุดใหญ่ เยาวชน ทีมหญิง ฟุตซอลและฟุตบอลชาดหาด ด้วยสัญญา 4 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 - 2564 เป็นเงิน 400 ล้านบาท ถือเป็นน้องใหม่รายล่าสุด ที่ได้ทำสัญญากับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในรอบ 40 กว่าปี

ถ้าหากย้อนไปในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลเมืองไทยแล้ว ก่อนปี พ.ศ. 2515 นั้น สมาคมฟุตบอลฯ จะเป็นผู้ว่าจ้างบริษัทห้างร้านเป็นผู้ตัดชุดแข่งขันให้กับทีมชาติแต่ละชุด เนื่องจากกฎข้อบังคับของฟีฟ่ายังคงห้ามเรื่องผู้สนับสนุน และให้มีเพียงตราของทีมชาติเท่านั้น ดังนั้น บนหน้าอกเสื้อทีมชาติไทยยุคก่อนจึงจะมีแค่ตราธงไตรรงค์

ต่อมา ประมาณ พ.ศ. 2520 สมัย พ.อ.อนุ รมยานนท์ เป็นนายกฯ สมาคมฟุตบอลฯ จึงมีนโยบายการบริหารทีมชาติ โดยแต่งตั้งให้คนนอกที่มิใช่สภากรรมการฯ มาเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย 

เนื่องจากผู้จัดการทีมจะต้องเป็นผู้ดูแลทีมในด้านต่างๆ แทนสมาคม จึงทำให้ผู้จัดการทีมแต่ละชุด มีการติดต่อบริษัทผู้ผลิตเสื้อเข้ามาจัดการเรื่องชุดแข่งขันกันเอง โดยขณะนั้น ฟีฟ่า เริ่มให้ทุกชาติ สามารถรับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ได้ จึงทำให้ทีมชาติไทยของเรา จึงมีชุดทีมไม่ซ้ำกันในแต่ละทัวร์นาเมนท์

ในยุคเริ่มแรกของเสื้อทีมชาติไทย ที่มีโลโก้หรือชื่อบริษัทผลิตเสื้อ ระหว่าง พ.ศ. 2520-2526 คือ เนชั่นแมน, เบต้า สปอร์ต, กรุงแสงสปอร์ต, เอฟบีที, แกรนด์สปอร์ต ฯลฯ ตามลำดับ ซึ่งจะเป็นบริษัทผลิตเสื้อของคนไทยเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท อาดิดาส (ประเทศไทย) จำกัด ในปี 2528-2530 นับเป็นเจ้าแรกที่เป็นบริษัทจากต่างประเทศ 

จนกระทั่งในยุคที่มี นายวิจิตร เกตุแก้ว เป็นนายกสมาคมฯ (พ.ศ. 2538-2550) จึงมีการทำสัญญาลิขสิทธิ์ระหว่างสมาคมฯ กับบริษัท เอฟบีที เป็นครั้งแรกของวงการฟุตบอลไทย ต่อมาเมื่อหมดสัญญาในสมัยนายวรวีร์ มะกูดี เป็นนายก (พ.ศ. 2550-2558) จึงเปลี่ยนเป็นบริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด แบรนด์ต่างชาติจากสหรัฐ จนมาถึงบริษัท แกรนด์สปอร์ต กรุ๊ป จำกัด ที่พึ่งหมดสัญญากับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก่อนมีการประมูลเสร็จสิ้นไปไม่ถึงเดือนที่ผ่านมา

คนในวงการฟุตบอลไทยคงต้องติดตามผลงานของบริษัท วาริกซ์ สปอร์ต จำกัด น้องใหม่รายล่าสุดที่ได้ลิขสิทธิ์เสื้อทีมชาติไทย ที่เจ้าของเป็นคนไทยจะทำออกมาดีเป็นที่ถูกอกถูกใจคอบอลบ้านเราหรือไม่ ทั้งเรื่องของเนื้อผ้า การออกแบบ ราคา จำนวนการผลิตและสถานที่จัดจำหน่าย 

เพราะหลายๆ คนยังหวั่นกันไม่หายกับกรณีของการยกเลิกสัญญากลางอากาศกับตู้เติมเงินยี่ห้อหนึ่งของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ผ่านมานั่นเอง