แกรนด์สแลมที่ 18 เมื่อ'เฟด'คืนบัลลังก์
อาจเรียกได้ว่านี่เป็นชัยชนะ ในแกรนด์สแลมที่เหนือความคาดหมายที่สุด สำหรับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ก็ว่าได้
สุดยอดนักเทนนิสชาวสวิสวัย 35 ปี ห่างหายจากวงการไปนานกว่าหกเดือน เพราะอาการบาดเจ็บจนอันดับโลกตกลงมาอยู่ที่ 17 เมื่อฤดูกาลใหม่เริ่มต้น กระทั่งเจ้าตัวยังยอมรับก่อนการแข่งขันว่าหากผ่านเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายได้ก็ถือว่าน่าพอใจ
กระทั่ง เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เฟเดอเรอร์ ก็เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นอีกครั้ง ด้วยสถิติแชมป์แกรนด์สแลมที่ 18 ในชีวิต นับเป็นผู้เล่นอายุมากที่สุดในรอบ 45 ปีที่ได้แชมป์ประเภทชายเดี่่ยวไปครอง ด้วยชัยชนะเหนืออริตลอดกาล ในแมตช์ที่คลาสสิคที่สุดอีกครั้งของวงการเทนนิสโลก
ปิดเทอมใหญ่
ย้อนกลับไปในปี 2016 ถือเป็นช่วงที่ เฟเดอเรอร์ ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ตั้งแต่การเข้าผ่าตัดเข่าเป็นครั้งแรกในชีวิตนักเทนนิส ในเดือนก.พ. ตามด้วยการพลาดลงแข่งใน เฟรนช์ โอเพน เพราะอาการปวดหลัง
ในรอบรองชนะเลิศ วิมเบิลดัน 2016 เฟเดอเรอร์ มีโอกาสปิดแมตช์ที่พบกับ มิลอส ราโอนิช ในเซตที่สี่ แต่ก็ปล่อยให้หลุดมือไปหมด ทั้งสามเบรคพอยท์ หรือการเสิร์ฟดับเบิลฟอลท์ถึงสองหนในช่วงไทเบรค ก่อนที่นักหวดแคนาเดียนจะพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้ในห้าเซต และเป็นแมตช์นี้เองที่ทำให้เจ้าตัวบาดเจ็บซ้ำ จนต้องถอนตัวจาก โอลิมปิก ที่ ริโอ เดอ จาเนโร รวมถึงรายการอื่นๆตลอดที่เหลือของฤดูกาล
“เรื่องนี้สอนให้ผมรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ตลอดชีวิตแทบไม่เจอกับอาการบาดเจ็บ แพทย์แนะนำว่าถ้าผมอยากจะเล่นใน เอทีพี ทัวร์ อีก 2-3 ปีโดยไม่มีปัญหาบาดเจ็บ ผมต้องให้เข่าและร่างกายมีเวลาฟื้นตัวบ้าง”
ฝ่าคลื่นลูกใหม่
หลังผ่านการวอร์มอัพในเทนนิสทีมผสม ฮอปแมน คัพ ให้ สวิตเซอร์แลนด์ ในรอบแบ่งกลุ่ม เมื่อช่วงต้นปี เฟเดอเรอร์ ก็มุ่งหน้าสู่เมลเบิร์น ในแกรนด์สแลมแรก ในฐานะมือวางอันดับ 17 ของรายการ
ในการประกบคู่ เฟเดอเรอร์ อยู่ในสายบน ร่วมกับบรรดาคลื่นลูกใหม่ในกลุ่มท็อป 10 อย่าง โทมัส เบอร์ดิช, เคอิ นิชิโคริ, และ สแตน วาวรินกา รวมถึงมือหนึ่งของโลกอย่าง แอนดี มาร์รีย์ แม้ มาร์รีย์ จะตกรอบไปก่อน แต่ เฟเดอเรอร์ ก็ยังต้องเจอกับทั้ง เบอร์ดิช, นิชิโคริ รวมถึง วาวรินกา เพื่อนร่วมชาติในรอบรองชนะเลิศ ก่อนสร้างสถิติเป็นนักเทนนิสชายอายุมากสุดอันดับ 2 รองจาก เคน รอสเวลล์ (40 ปี ในปี 1974) ที่ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้สำเร็จ แม้จะต้องเล่นถึง 5 เซตในรอบ 8 คน และรอบตัดเชือกก็ตาม
“ผมบอกตัวเองให้เล่นอย่างอิสระ” เฟเดอเรอร์ อธิบายถึงแผนการเล่นจากการหารือกับ เซเวอริน ลูธี และ อิวาน ลูบิซิช สตาฟฟ์โค้ช ในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่สภาพร่างกายสดกว่า “คุณเล่นกับบอล ไม่ได้เล่นกับฝ่ายตรงข้าม พยายามปล่อยวางและมั่นใจในการตีทุกชอต”
แมตช์คลาสสิก
ในรอบชิงชนะเลิศ คล้ายกับเขียนบทไว้ล่วงหน้าให้ ออสเตรเลียน โอเพน ปีนี้ คลาสสิกยิ่งขึ้น เพราะหลังจาก โนวัค ยอโควิช ตกรอบแบบพลิกความคาดหมาย โฟกัสก็ไปตกอยู่ที่ ราฟาเอล นาดาล อีกหนึ่งสุดยอดนักเทนนิสที่ร้างสนามไปหลายเดือนเพราะอาการบาดเจ็บเช่นกัน
ในช่วง 2-3 ปีหลังสุด การคาดหวังจะเห็น “เฟเดอเรอร์-นาดาล” ในนัดชิงชนะเลิศ เป็นเรื่องยาก หากมองว่าในปี 2016 คือเป็นเวทีสำหรับ มาร์รีย์ และ ยอโควิช เพียงสองคน ขณะที่ เฟเดอเรอร์ เองก็ทำได้เพียงแค่เล่นมินิ-เทนนิสกับเด็กๆเท่านั้น เมื่อครั้งเดินทางไปร่วมในพิธีเปิดอะคาเดมีของ นาดาล ที่มายอร์กา ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
“ตอนแรก ผมอยากจะเล่นนัดการกุศลกับเขาซักแมตช์ แต่ตอนนั้นผมยังเดินด้วยขาข้างเดียว และก็เจ็บข้อมือด้วย” เฟเดอเรอร์ กล่าว
จากสถิติเก่าๆ นาดาล มักเป็นฝ่ายกำชัยได้เสมอในการพบกัน (23-11) แต่การเจอกันในครั้งนี้ต่างออกไป โดยเฉพาะสภาพร่างกายของทั้งคู่ที่ไม่สมบูรณ์พร้อม เพราะแม้นักหวดจากสเปนจะหนุ่มกว่าถึง 5 ปี แต่ก็เพิ่งกรำศึกหนักกับ กริกอร์ ดิมิตรอฟ เกือบ 5 ชั่วโมงในรอบตัดเชือก และมีเวลาพักน้อยกว่าหนึ่งวัน
และด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น เกมแพลนที่ เฟด เลือกใช้ ก็เป็นการพยายามเปิดเกมรุกแลกเพื่อเผด็จศึกโดยเร็วที่สุด แม้สุดท้ายจะต้องยื้อกันถึงห้าเซตก็ตาม “ผมไม่แปลกใจที่เขาเลือกเล่นเกมรุก มันคงไม่เหมาะถ้าเขาจะเลือกโต้จากเบสไลน์ไปเรื่อยๆ เขาเลือกบุกและผมคิดว่าเขาเลือกถูก”
ชัยชนะเหนือ นาดาล ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นครั้งแรกในแกรนด์สแลมรอบสิบปี นับจากนัดชิงชนะเลิศ วิมเบิลดัน 2007 แล้ว ยังเป็นหนแรกในออสเตรเลียน โอเพนด้วย หลังจากแพ้มารวดใน 3 ครั้งก่อนหน้า นั่นทำให้แชมป์นี้มีความหมายมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ผมไม่รู้จะเปรียบแชมป์นี้กับครั้งไหน นอกจาก เฟรนช์ โอเพน ปี 2009 ส่วนเรื่องสถิติ มันยังไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมกลับมาได้อีกครั้ง แถมเป็นในเกมคลาสสิกกับ ราฟา ด้วย” เฟเดอเรอร์ กล่าว
“นั่นหมายถึงว่าผมยังมีดีพอที่จะเล่นในระดับสูงสุดต่อไป”