“ยูเวนตุส” กับอาถรร์พระรองแชมเปี้ยนสลีก

ถือเป็นคู่ทุกคนรอคอย สมน้ำสมเนื้อกันมากที่สุดในฤดูกาลนี้ ทีมดังจากสเปน จบฤดูกาลในประเทศด้วยการเป็นแชมป์ลีก ขณะที่ยอดทีมจากตูริน เป็นดับเบิ้ลแชมป์จากอิตาลี

อย่างไรก็ตามบรรดาบริษัทรับพนันถูกกฎหมายทั่วยุโรป(อาจจะทั่วโลก) ต่างยกให้เรอัล มาดริด มีโอกาสสูงกว่าที่จะคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์มาครองเป็นสมัยที่สิบสอง เมื่อพิจารณาจากสภาพทีม ขุมกำลัง และประสบการณ์ แม้แต่ “มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี” เทรนเนอร์ ยูเวนตุส ยังยอมรับว่าทีมตัวเองเป็นรอง

เมื่อพลิกไปดูปูมหลังผลงานของทีมม้าลาย ที่เคยได้แชมป์รายการนี้มา 2 ครั้งคือปี 1985 และ 1996 แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ยูเว่ครองสถิติการเป็นเจ้าของรองแชมป์มากที่สุดถึง 6 ครั้ง (ที่สองคือ บาเยิร์น มิวนิค กับ เบนฟิก้า 5 ครั้ง) โดยเฉพาะการเข้าชิง สี่ครั้งหลังสุด ต้องอกหักพ่ายแพ้ไปทั้งหมด

ความพ่ายแพ้ต่อยอดทีม

ในฤดูกาล 1972-1973 ยูเวนตุส สถาปนาตัวเองเองเป็นหมายเลขหนึ่งของอิตาลีอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยการค้วาแชมป์กัลโช่ ซีเรีย อา เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน อีกทั้งเกือบจะเป็นดับเบิ้ลแชมป์ด้วยซ้ำแต่น่าเสียดายที่ไปพลาดการดวลจุดโทษต่อ เอซี มิลาน ในโคปา อิตาเลีย

ขณะที่ผลงานในเวทียุโรป ลูกทีมของ “เซสเมียร์ เวียฟซาปาเลก” กุนซือชาวเชค นำโดยสตาร์อย่างดีโน่ ซอฟฟ์, โชเซ อัลตาฟีนี และ ฟรานโก กาอูซีโอ ทะลุเข้ารอบชิงเจอกับสุดยอดทีมแห่งยุคที่คว้าแชมป์ยุโรปมา 3 สมัยติดต่อกันจากเนเธอร์แลนด์นั่นคือ “อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม” ที่นำทีมโดยโยฮัน ครัฟฟ์,อี ฮาน และ โยฮัน นีคเซ่น ซึ่งทีมดังจากอิตาลีก็ต้านทานไม่อยู่พ่ายแพ้ไป 1-0

จนเข้าสู่ยุค 80 ภายใต้การนำทีมของ “โจวานนี่ ตราปัตโตนี่” ที่เข้ามาต่อยดสร้างความสำเร็จให้ยูเว่ตั้งแต่ปลายยุค 70 โดยมีตัวชูโรงอย่างดีโน่ ซอฟฟ์ และ เปาโล รอสซี่ ดาวซัลโวฟุตบอลโลก 1982  รวมไปถึง “มิเชล พลาตินี่” ในฤดูกาล 1982-1983 ทีมม้าลายเข้ามาเล่นยูโรเปี้ยนคัพในฐานะแชมป์ลีกของอิตาลี จนผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ ที่กรุง เอเธนส์ แต่ก็ต้องแพ้ให้กับ “ฮัมบูร์ก” จากเยอรมนี ไป  1-0

อกหัก 2 ปีต่อเนื่อง

ช่วงยุค 90 ที่ถือว่าเป็นยุคทองของฟุตบอลอิตาลี ทีมจากซีเรียอา ออกไปคว้าแชมป์สโมสรยุโรปกันเป็นว่าเล่นไม่ว่าถ้วยเล็กและถ้วยใหญ่ ขณะที่ในซีเรีย อา ช่วงต้นยุค 90 อาจจะเป็นเอซี มิลานที่ครองความยิ่งใหญ่ แต่พอเข้าสู่กลางยุคยูเวนตุส กลายเป็นทีมที่ขึ้นมาสลับกับมิลาน บ่อยครั้ง

ภายใต้การนำทีมของ “มาเซโล่ ลิปปี้” ยูเวนตุส คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนสลีกครั้งที่สองได้สำเร็จในปี 1996  จากการเอาชนะ อาแจ๊กซ์ 1-0 จนฤดูกาลถัดมาลูกทีมของลิปปี้ที่ยังคงมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็นอันเจโล่ เปรุซซี่, อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร,ดิดิเยร์ เดสชองส์ หรือแม้กระทั่งซีเนดีน ซีดาน ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอีกครั้งโดยพบ “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์” ทั้งที่ตามหน้าเสื่อทีมม้าลายอาจจะเป็นต่อ แต่การเสียประตูไปถึงสองลูกในช่วงครึ่งแรกทำให้พบกับสถานการณ์ยากลำบาก อีกทั้งต้องไปเล่นที่โอลิมปิก มิวนิค ประเทศเยอรมนี  ทำให้ดอร์ทมุนด์ ก็ได้เปรียบเสมือนการเป็นเจ้าบ้าน ผลคือยูเว่ พ่ายไป 3-1

ปีถัดมาคือในฤดูกาล 1997-1998 ทีมดังจากตูรินในฐานะแชมป์อิตาลี เข้าสู่รอบชิงในถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปอีกครั้ง โดยคู่ต่อสู้คือ “เรอัล มาดริด” จากสเปน และก็เป็นทีเด็ดของเปแดร็ก มิยาโตวิช ที่ทำประตูชัยนาทีที่ 66 ให้ราชันชุดขาวคว้าชัยไป 1-0  เท่ากับว่า ช่วงปี 1996-1998 ยูเวนตุสเข้าชิงถึง 3 ปีติดต่อกันคว้าแชมป์ได้หนึ่งครั้ง แต่สองครั้งหลังอกหักทั้งหมด

สถานการณ์ไม่เป็นใจ

ฤดูกาล 2002-2003 ยูเวนตุส ภายใต้การนำของของมาเซโล่ ลิปปี้ ที่กลับมาคุมทีมอีกครั้งในฤดูกาลก่อนหน้าและพาทีมแชมป์ลีกได้อีกครั้งในรอบ 4 ปี จากนั้นก็คว้าแชมป์สมัยที่สองติดต่อกันได้ในปี 2003 ซีซั่นนี้ยังได้เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนสลีก โดยคูชิงคือ “เอซี มิลาน” ทีมคู่รักคู่แค้นจากชาติเดียวกัน เกมนี้ยูเว่ ต้องเผชิญปัญหาหนักจาการขาด “พาเวล เนดเวด” เพลย์เมเกอร์ตัวเก่งเพราะติดโทษแบน ทำให้ศักยภาพในแดนกลางลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

โดยบิ๊กแมชต์ของทีมอิตาลี ที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด จบลง 120 นาทีด้วยสกอร์จืดชืด 0-0 และเป็นเอซีมิลานที่เอาชนะในการดวลจุดโทษ 3-2

จนกระทั่งมาสู่การเข้าชิงชนะเลิศในถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปครั้งล่าสุดของยูเวนตุส ในปี 2015  ที่ต้านทาน “บาร์เซโลน่า”ยอดทีมจากสเปนไม่ไหวจริงๆ จนแพ้ไปชนิดหมดรูป  3-1

สำหรับในปี 2017 ครั้งนี้นับว่าเป็นอีกปีที่ยูเว่ มีความพร้อมมากๆ สำหรับโอกาสคว้าแชมป์ยูฟ่า แขมเปี้ยนสลีก สมัยที่ 3 ของสโมสร

ตั้งแต่ฟอร์มการเล่นในลีก ที่คว้าแชมป์มา 6 สมัยติตด่อกันแล้ว ประสบการณ์จากผู้เล่นหลายคนที่กำลังสุกงอม อีกทั้งแรงผลักดันต่อการเป็นทริปเปิ้ลแชมป์

แฟนยูเว่ กำลังรอความหวังที่จะหลุดพ้นต่อการเป็นได้แค่พระรองของถ้วยใบนี้ซะที