จับส่งคืน! 4รัสเชียโหด 'มือปืน-ปล้น-ฆ่า-แหกคุก' หนีซุกไทย
แก๊งโหดซุกไทย! สตม.กวาดล้างอาชญากรข้ามชาติ5คดีอุกฉกรรจ์ หนีมากบดานในประเทศ รวบมือสังหารรับจ้างฆ่า-โจรปล้นทรัพย์-นักโทษแหกคุก-แก๊งมาเฟียรัสเซีย-แก๊งเยอรมันปลอมเงินยูโร
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 มิถุนายน ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน รอง ผบก.สส.สตม. และ นายวลาดิเมียร์ โซสนอฟ (Mr.Vladimir Sosnov) ทูตตำรวจรัสเซียและเยอรมันประจำประเทศไทย ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรข้ามชาติที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย สามารถจับกุมคนต่างชาติผิดกฎหมาย บุคคลตามหมายจับตำรวจสากลและบุคคลในคดีสำคัญที่ทางการต่างประเทศต้องการตัวเป็นอย่างมากได้หลายราย
พล.ต.ท.ณัฐธร เปิดเผยว่า ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หนีมาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย เข้ามากระทำผิดกฎหมายหรือใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ทาง สตม. ได้ให้หน่วยงานในสังกัดสืบสวนหาข่าว และประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ สนธิกำลังกวาดล้างคนต่างชาติผิดกฎหมาย พร้อมทั้งประสานข้อมูลกับทูตตำรวจของต่างประเทศและตำรวจสากลอย่างใกล้ชิด จนนำไปสู่การจับกุมคนต่างชาติผิดกฎหมายได้เป็นจำนวนมาก มีรายสำคัญดังต่อไปนี้
คดีแรกเป็นคดีที่สำคัญ ทางฝ่ายสืบสวน สตม.ร่วมกันควบคุมตัว นายอังเดร เดอยาก๊อฟสกี้ (MR.ANDREY DZYATKOVSKIY) อายุ 35 ปี สัญชาติรัสเซีย ตามหมายจับตำรวจสากล (Interpol Red Notice) ในข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, พยายามฆ่า, ซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ครอบครองและพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยผิดกฎหมาย” โดยในคดีนี้ สตม.ได้ประสานงานกับทางการรัสเซีย เพื่อติดตามตัวมือสังหารชาวรัสเซีย ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ รับจ้างฆ่าบุคคลสำคัญและนักธุรกิจรัสเซียหลายราย โดยยิงถล่มเป้าหมายด้วยอาวุธสงคราม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และนายอังเดร เป็นผู้ต้องหาที่ทางการรัสเซียต้องการตัวมากที่สุด (The Most Wanted) หลังก่อเหตุนายอังเดร ได้หลบหนีออกนอกประเทศ
โดยหน่วยข่าวกรองของทางการรัสเซียได้ข้อมูลว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ขอให้ทางการไทยช่วยติดตามตัว เนื่องจากเป็นบุคคลอันตราย อาจเป็นภัยกับประชาชนทั่วไป ผบช.สตม.
จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนเร่งติดตามล่าตัว จากการสืบสวนพบข้อมูลการเดินทาง เข้า-ออกประเทศไทย จำนวน 7ครั้ง เข้ามาครั้งสุดท้าย เมื่อ 18 เม.ย.2560 ได้รับอนุญาตถึงวันที่ 17 ก.ค.2560 หลังจากเข้ามาได้หลบหนีอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ หลังจากเจ้าหน้าที่ตามล่าตัวอย่างหนัก นายอังเดร เริ่มไหวตัวจึงได้หนีไปหลบซ่อนตัวในจังหวัดร้อยเอ็ด ชุดสืบสวนจึงได้ลงพื้นที่จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2560 เวลา 19.00 น. สามารถควบตัวนายอังเดร ได้ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด จากการซักถามนายอังเดร รับว่าตนได้หลบหนีคดีมาจากรัสเซียจริง ทางสตม. จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ เนื่องจากมีพฤติการณ์เป็นภัยสังคม
คดีที่สอง ฝ่ายสืบสวน สตม.ได้ร่วมกันทำการจับกุม นายเอกินี่ โคโรวิน (MR.EVGENY KOROVIN) อายุ 26 ปี สัญชาติรัสเซีย ตามหมายจับตำรวจสากล (Interpol Red Notice) ในข้อหา กล่าวหา “ปล้นทรัพย์ โดยใช้อาวุธปืน บุกรุกเคหสถาน” พฤติการณ์ในคดีนี้ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2556 นายเอกินี่ พร้อมพวกได้บุกเข้าไปอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง ก่อเหตุปิดอพาร์ทเมนต์ปล้นคนที่อาศัยในอาคารพร้อมทั้งทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธปืน ได้ทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมากถึง 5.4 ล้าน รูเบิล หรือประมาณ 3.25 ล้านบาท หลังก่อเหตุนายเอกินี่ ได้หลบหนีออกนอกประเทศและพบข้อมูลว่าได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย สตม.ได้ประสานงานกับทางการรัสเซีย เพื่อติดตามตัวนายเอกินี่ ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ จนกระทั่งชุดสืบสวนสามารถติดตามตัวนายเอกินี่ ได้ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จากข้อมูลเดินทางเข้า-ออก พบว่าปัจจุบันนายเอกินี่ อยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ถึง 1,200 วัน จึงได้ดำเนินคดีในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
คดีที่สาม ฝ่ายสืบสวน สตม.ได้ร่วมกันทำการควบคุมตัว นายดีมมิทรี ซากูลาตอฟ (MR.DIMITRII SHKURATOV) อายุ 29 ปี สัญชาติรัสเซีย บุคคลที่ทางการรัสเซียต้องการตัวในความผิดฐาน “ทำร้ายเจ้าพนักงาน (ผู้คุม) และหลบหนีที่คุมขัง” คดีนี้ สตม.ได้รับประสานงานจากทางการรัสเซียให้ช่วยติดตามตัวนายดิมมิทรี ซึ่งหลบหนีเข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2569 เวลา 23.30น. ชุดสืบสวนสามารถติดตามตัวนายดีมมิทรีฯ ได้ที่ โรงแรมแห่งหนึ่ง ในซอยสุขุมวิท 11 กรุงเทพฯ สตม.ได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ มาตรา 12 อนุ 7 (มีพฤติการณ์เป็นภัยสังคม) และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
คดีที่สี่ ฝ่ายสืบสวน สตม.ได้ร่วมกันทำการจับกุม นายอนาโตลี ซาโมดอฟ (MR.ANATOLII SAMODOV) อายุ 56 ปี สัญชาติรัสเซีย บุคคลที่ทางการรัสเซียต้องการตัวในความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจพฤติการณ์ในคดีนี้ นายอนาโตลี ซาโมดอฟ เป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียรัสเซีย ร่วมกับสมาชิกในขบวนการตั้งตัวเป็นกลุ่มอิทธิพล ฮั้วประมูลงานของภาครัฐ โดยใช้วิธีการข่มขู่ คุกคาม ผู้เข้าร่วมประมูลงานรายอื่นๆ ให้เกิดความหวาดกลัว จนต้องถอนตัวไป เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง ภายหลังตำรวจรัสเซียได้กวาดล้างจับกุมสมาชิกในแก๊งทั้งหมด 6 คน โดยศาลอาญาสูงสุดของประเทศรัสเซียสั่งพิพากษาผู้ร่วมขบวนการทั้ง 6 คน ให้รับโทษจำคุกจำนวน คนละ 10 ปี แต่นายอนาโตลี ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปยังประเทศอิตาลี
และต่อมาได้หนีเข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย ต่อมา สตม.ได้รับการประสานจากทางการรัสเซียเพื่อติดตามตัวชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่หาข่าว จนกระทั่งได้ข้อมูลว่านายอนาโตลี ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2555 ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว หลังจากเข้ามาได้หลบซ่อนตัวอยู่ที่คอนโดแห่งหนึ่งในพัทยา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2560 เวลา 12.30 น. ชุดสืบสวนสามารถติดตามตัวได้ที่ พาราไดซ์คอนโดมิเนียม ซ.จอมเทียน 14 อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จากข้อมูลเดินทางเข้า-ออก พบว่าปัจจุบันนายอนาโตลี อยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ถึง 1,424วัน จึงได้ดำเนินคดีในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
คดีสุดท้าย ฝ่ายสืบสวน สตม.ได้ร่วมกันจับกุม นายมอรีซ เฮิคเคลมันน์ (MR.MAURICE HOCKELMANN) สัญชาติ เยอรมัน อายุ 25 ปี บุคคลที่ทางการเยอรมันต้องการตัว ในความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ “ร่วมกันปลอมแปลงเงินตรา (เงินสกุลยูโร)” พฤติการณ์ นายมอรีซ เป็นหัวหน้าแก๊งปลอมเงินสกุลยูโร ได้ร่วมกับสมาชิกในแก๊งก่อเหตุกว่า 260 ครั้ง ในหลายพื้นที่ มีผู้เสียหายจำนวนมาก หลังเจ้าหน้าที่บุกทลายแก๊ง นายมอรีช หัวหน้าแก๊งได้หลบหนีออกนอกประเทศ และได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย
คดีนี้ สตม.ได้รับการประสานงานจากทางการสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเพื่อติดตามตัวนายมอรีช กลับไปดำเนินคดี ผบช.สตม. ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนออกติดตาม จนทราบว่านายมอรีช ได้หลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 เม.ย.2560 เวลา 22,00น. ชุดสืบสวนสามารถควบคุมตัวนายมอริช ได้ที่ ริมถนนปากซอยประชาอุทิศ 129 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร จากข้อมูลการเดินทางเข้า-ออก พบว่านายมอรีซ ได้เดินทางมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2559 ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 22 ก.ค.2559 ปัจจุบันอยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ถึง 2,449วัน จึงได้ดำเนินคดีในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
พล.ต.ท.ณัฐธร กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ผ่านมา สตม.ได้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยเอ็กซเรย์พื้นที่ในความรับผิดชอบ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้พี่น้องประชาชน ตามนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐบาล