"ดีเอสไอ" จับแก๊งค้ามนุษย์ชาวเกาหลี หลอกหญิงไทยไปนวดแผนโบราณสุดท้ายบังคับค้ากาม เตือนอย่าหลงเชื่อไลน์-เฟชบุ๊ค ชักชวนไปทำงานนวดรายได้ดี
พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ต.คมวิชช์ พัฒนรัฐ ผอ.ส่วนป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ร่วมแถลงผลการจับกุมนายคิม ฮยอง จุน (Mr.Kim Hyoung Joon) สัญชาติเกาหลี อายุ 39 ปี ผู้ต้องหารายสำคัญในคดีค้ามนุษย์ได้ที่อาคาร The Log 3 ซอยสุขุมวิท 101/1 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม.เมื่อวันที่ 16 ส.ค ที่ผ่านมา และบ่ายวันนี้ดีเอสไอจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญา ทั้งนี้คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากมูลนิธิสตรีไทยได้ประสานมายังดีเอสไอให้เข้าไปช่วยเหลือจนมีการประสานกับทางตำรวจเกาหลีจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวเกาหลีได้ 8 รายในข้อหาค้ามนุษย์เมื่อวันที่ 23 กพ.ที่ผ่านมา
พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมามีผู้หญิงไทยหลายรายหลบหนีเข้าไปทำงานที่ประเทศเกาหลีและถูกหลอกให้ค้าประเวณีโดยกลุ่มของนายคิมฮยองจุนและพรรคพวกที่อยู่ในประเทศเกาหลี ซึ่งกลุ่มญาติของหญิงทีตกเป็นเหยื่อได้ไปขอความช่วยเหลือจากสถานฑูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย จากการสืบสวนหาข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวร่วมกับสตช.และสำนักอัยการประเทศเกาหลีพบว่า คดีดังกล่าวมีการกระทำในลักษณะขบวนการอาชญากรรม และนำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหา 2 ราย คือ นายคิม ฮยอง จุน และภรรยาชาวไทย 1 ราย ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตามจับกุม โดยนายคิม ฮยอง จุนเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่ทางการเกาหลีต้องการตัว มีหลายจับหลายคดีและมีชื่ออยูในBlack list ของInterpolในข้อหาค้ามนุษย์ จากการสอบสวนพบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีหมายจับจากประเทศเกาหลีเข้ามาอยู่ในไทยได้ 3 ปีแล้ว สำหรับคดีนี้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อ 2 ราย โดยนายคิมจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งหญิงไทยไปต่างประเทศและจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด อ้างว่าจะส่งไปทำงานนวดแผนไทยแต่กลับถูกบังคับให้ค้าประเวณีทางทวารหนัก ไม่ให้สวมถุงยางอนามัย มีการยึดหนังสือเดินทาง และมีผู้คอยควบคุมไม่ให้หลบหนีได้
ด้านพ.ต.ท.คมวิชช์ กล่าวว่า ขอเตือนหญิงไทยที่จะเดินทางไปทำงาประเทศเกาหลีว่า อาชีพหมอนวดหรือนวดแผนโบราณเป็นอาชีพสงวนของพิการชาวคนเกาหลีเท่านั้น หากมีการชักชวนให้ไปทำงานอาชีพดังกล่าวถือว่ามีความผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น จึงขอให้ระวังโดยเฉพาะการชักชวนผ่านไลน์และเฟชบุ๊คที่อ้างว่ามีรายได้สูง ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขหญิงไทยถูกหลอกลวงไปทารุณในเกาหลีเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง