เหยื่อ7ราย โร่แจ้งความกองปราบ หลังถูกสาวเเสบตุ๋นหลอกเเต่งงานก่อนเชิดเงินกว่า 3 ล้าน 7 เเสนบาท เผ่นหนี ตร.เรียกสอบผู้เสียหายทั้งหมดประกอบสำนวน
ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พร้อมด้วยผู้เสียหาย 7 ราย ที่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกให้แต่งงานแล้วเชิดเงินสินสอด เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. โดยนำเอกสารหลักฐาน อาทิ หลักฐานการโอนเงิน บทสนทนา การ์ดงานแต่ง รูปภาพต่างๆ มามอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อประกอบการพิจารณาคดีความ
นายสงกรานต์ กล่าวว่า วันนี้ได้นำผู้เสียหายเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม หลังผู้เสียหายทั้งหมดถูกน.ส.สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์ หลอกให้แต่งงานด้วย โดยพฤติกรรมจะทำทีเข้ามาพูดคุยผ่านทางเฟซบุ๊ก ซึ่งได้พูดคุยกันจนสนิทสนม จากนั้นก็จะนัดเจอจนมีความสัมพันธ์กัน ก่อนที่ทางน.ส.สร้อยเพ็ชร จะชักชวนแต่งงานโดยพูดคุยขอสินสอดและให้โอนเงินผ่านบัญชี เหยื่อหลายรายได้หลงเชื่อโอนเงินไปก่อนที่จะมีการแต่งงาน ซึ่งระหว่างแต่งงานได้มีการให้ฝ่ายชายไปขายผลไม้ ก่อนที่จะหลบหนีไป ต่อมาสืบทราบว่ามีน.ส.สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์ ตัวจริงกับผู้ต้องหาเป็นคนละคนกัน ซึ่งแท้จริงแล้วผู้ต้องหาคือ น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ อายุ 32 ปี ชาวจังหวัดเลย แต่ใช้ชื่อน.ส.สร้อยเพ็ชรในการพิมพ์บนการ์ดเชิญงานเเต่งงาน และเป็นชื่อเจ้าของบัญชีที่ผู้เสียหายได้โอนเงินเข้าไปให้ นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้เสียหายหลายรายที่ถูกผู้ต้องหารายนี้หลอก รวมทั้งตำรวจหลายท้องที่ได้ดำเนินการออกหมายจับอาทิท้องที่สภ.เมืองระยอง สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ สภ.สำโรงใต้
ด้านนายประสาร เทียมแย้ม อายุ32ปี ชาวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเริ่มรู้จักหญิงรายนี้เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์2558 ผ่านทางเฟซบุ๊กโดยต่างคนต่างกดไลค์กันไปมา พูดคุยมาสักระยะจนเริ่มสนิทกันมากขึ้น จากนั้นก็เริ่มปรึกษาเรื่องธุรกิจค้าผลไม้ จนชวนกันร่วมลงทุนธุรกิจ ซึ่งตนไปกู้เงินมา 2 แสนบาทให้ฝ่ายหญิง จากนั้นไม่นานฝ่ายหญิงบอกว่าตั้งครรภ์ จึงได้จัดงานแต่งจัดขึ้นช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ที่รีสอร์ทเเห่งหนึ่งในพื้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเตรียมสินสอดไว้ 2 แสนบาท จากนั้นแต่งงานอยู่กันได้ 4 วัน ฝ่ายหญิงขอกลับบ้าน ระหว่างที่ผู้ต้องหาอยู่ที่บ้านนั้นตนโทรไปก็ไม่ค่อยรับ ต่อมาผู้ต้องหาให้หลานสาวโทรบอกว่าแท้งลูก เนื่องจากครรภ์เป็นพิษ และบอกตนไม่ต้องโทรมาอีก ก่อนที่ตนจะมาทราบภายหลังมาถูกหลอก
ด้าน นายไพรัตน์ พึ่งสุข อายุ 28 ปี ชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้รู้จักกับคนร้ายรายนี้ ผ่านทางเฟซบุ๊ค และได้พูดกันเป็นระยะเวลา 2 เดือน ก่อนมีความสัมพันธ์กันจนฝ่ายหญิงออกปากชวนทำธุรกิจผลไม้ หลังจากนั้นจึงตกลงปลงใจแต่งงานกัน และได้ตกลงวันแต่งงานกันเมื่อ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่บ้านย่านรังสิต ซึ่งเป็นบ้านของฝ่ายหญิง โดยมีสินสอด 1.8 แสนบาท หลังจากแต่งงานเพียงหนึ่งคืน ฝ่ายหญิงได้ขอยืมรถกระบะอ้างว่าไปเอาผลไม้ที่จ.จันทบุรี โดยให้ตนไปรอรับผลไม้ที่จ.เพชรบูรณ์ หลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อ และไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ตนเองจึงรู้ว่าโดนหลอกแน่นอนจึงได้มีการแจ้งความที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์
นอกจากนี้ทาง น.ส.ขนิษฐา หอมหวน อายุ 30 ปีชาวจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า พี่ชายตนก็ตกเป็นเหยื่อของผู้ต้องรายนี้เช่นกัน โดยพี่ชายตนรู้จักเมื่อปี 2559 และได้แต่งงานกันที่บ้านของฝ่ายหญิงย่านรังสิต ซึ่งในวันแต่งงานตนผิดสังเกตว่าภายในงานมีแค่เพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ ญาติฝ่ายเจ้าสาวมีเพียงพ่อและแม่ ไม่มีคนอื่นเลย ทั้งนี้การจัดงานมีการพูดคุยว่าเตรียมโต๊ะจีน 14 โต๊ะ แต่พอวันจริงมีเพียง 7 โต๊ะเท่านั้น รวมทั้งนำเงินที่ได้จากผูกข้อไม้ข้อมือไปจ่ายเงินค่าโต๊ะจีน ซึ่งไม่ได้ทักท้วงอะไรเพื่อไม่อยากขัดใจพี่ชาย
ทั้งนี้ นายสงกรานต์ กล่าวเสริมว่า เหยื่อแต่ละรายที่ถูกผู้เสียหายรายนี้หลอก จะถูกหลอกในพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน ซึ่งขณะนี้ผู้เสียหายทั้งหมดมากถึง 12 ราย เป็นเงินมากกว่าหลักหลายล้านบาท นอกจากนี้ทางผู้เสียหายได้ติดต่อผู้ต้องหาเพื่อขอทรัพย์สินคืน กลับถูกพูดจาข่มขู่ว่ารู้จักนายตำรวจระดับสารวัตรท้องที่หนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นพี่ชาย ซึ่งเหยื่อบางรายก็เกรงกลัวจึงได้รวมตัวกันเข้ามาแจ้งความที่กองปราบปราม เบื้องต้นเตรียมแจ้งความในฐานความผิดฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น นอกจากนี้จะแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับพ่อและแม่ คือนายบุญเลี้ยง และนางสำรอง บัวใหญ่ รวมทั้งเจ้าของบัญชี คือน.ส สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์ ด้วยเนื่องหลังจากปรากฏเป็นข่าวไม่ได้มีการแสดงตัวออกมาแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะนี้ทราบชื่อผู้เสียหาย9คนโดยผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลอกลวงที่คล้ายกัน คือ
1.นายชาติ เมื่อปี2554 2.นายมนตรี สว่างกาล ปี2555 เสียเงินค่าสินสอดจำนวน1แสนบาท 3.ประสาน เทียมเเย้ม ถูกหลอกช่วงเดือนพฤศจิกายน2558 จำนวนเงิน4แสนบาท 4.นายอนุชิต ประมวล ถูกหลอกช่วงเดือนธันวาคม 2558 จำนวนเงิน5แสนบาท 5.นายวิพล บัวสุวรรณ ถูกหลอกปี2560 จำนวนเงิน7แสน2หมื่นบาท 6.นายปรเมศร์ นะโส ถูกหลอกช่วงเดือนมีนาคม 2560 จำนวนเงิน2แสนบาทและทองคำหนัก1บาท 7.นายวิชิต หอมหวล ถูกหลอกช่วงเดือนพฤษภาคม2560 จำนวนเงิน4แสนบาท 8.นายไพรัตน์ พึ่งสุข จำนวนเงิน 1เเสน8หมื่นบาทและรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า 1คัน รวมมูลค่า1,220,000บาท และ9.นายพงษ์ธาริน สินธุนาคิน ถูกหลอกช่วงปี2560 จำนวนเงิน5หมื่นบาท รวมมูลค่าเสียหายทั้งหมดประมาณ3ล้าน7แสนบาท
ขณะที่พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายทั้งหมด และรวบพยานหลักฐานมาประกอบสำนวน เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป