"พล.ต.ต.สัมฤทธิ์" ผู้การฯ บก.น.8 แต่งชุดไทยล่องเรือไหว้พระ แถลงจับผัวเมียจอมแสบตระเวนลักรถจยย.ทั่วกรุงฯ
ที่ท่าน้ำวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า ผบก.น.8 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ รอง ผบก.น.8 เปิดโครงการนาวาสัญจร ย้อนยุค แต่งชุดไทยล่องเรือไหว้พระ บางเก่า-บางกอก พร้อมนำคณะข้าราชการตำรวจ กต.ตร. และประชาชน ในพื้นที่ บก.น.8 สวมชุดไทย ล่องเรือ ทำบุญ ไหว้พระ 9 วัด ซึ่งมีที่ตั้งติดเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า เพื่อระลึกถึงความเป็นไทย ส่งเสริมความรัก ความสามัคคี และรำลึกถึงวิถีชีวิตการอยู่อย่างไทย ปฏิบัติตนด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม ตามพระราชปณิธานที่ทรงมั่นหมายของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
หลังจากนั้น พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า ผบก.น.8 ได้สวมชุดไทยถือไม้ตะพด เดินทางไป สน.บุปผาราม และแถลงผลงานของ พ.ต.อ.ภูมิยศ เหล็กกล้า ผกก.สน.บุปผาราม พ.ต.ท.อุดมพล เอื้อศิลามงคล รอง ผกก.สส.สน.บุปผาราม และ พ.ต.ต.สมมาตร วงษ์ดี สว.สส.สน.บุปผาราม ซึ่งสามารถจับกุมตัว น.ส.จุฑารัตน์ หรือเอ บุญสม อายุ 38 ปี และ นายอภิเดช หรือตุ้ม ถาวรอภิชาต อายุ 40 ปี สองสามีภรรยา ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ จ.260/2561 และ 262/2561 ลงวันที่ 5 เม.ย.61 ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป” พร้อมของกลาง รถ จยย.ฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีเทา ทะเบียน 7 กท 3192 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ใช้ก่อเหตุ เหล็กรูปตัวทีและตัวแอล 1 ชุด หมวกนิรภัย 2 ใบ และเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุ 1 ชุด โดยจับกุมตัว น.ส.จุฑารัตน์ ได้ที่หมู่บ้านเศรษฐกิจ ถนนเพชรเกษม ก่อนขยายผลติดตามจับกุมตัว นายอภิเดช ได้ที่ห้องเช่าสตาร์แมนชั่น ย่านบางแค
พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา มีผู้เสียหาย ได้นำรถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีดำ ทะเบียน 7 กญ 4549 กรุงเทพมหานคร ไปจอดไว้ที่ลานด้านข้างห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนอิสรภาพ เพื่อทำธุระ ต่อมาพบว่ารถจยย.ที่จอดไว้ได้สูญหายไป ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บุปผาราม จึงนำกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบภาพผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย พากันขับขี่และซ้อนท้าย รถ จยย.ฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีเทา ทะเบียน 7 กท 3192 กรุงเทพมหานครของกลาง มาที่จุดเกิดเหตุ จากนั้น นายอภิเดช ได้ลงจากรถ เพื่อนำเหล็กรูปตัวทีไปไขกุญแจรถของผู้เสียหาย และขับหลบหนีไป โดยขากลับ น.ส.จุฑารัตน์ ก็ขับ รถ จยย.ของกลางตามประกบไปด้วย จากการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถดังกล่าว พบว่า มีชื่อ น.ส.จุฑารัตน์ เป็นผู้ครอบครอง ฝ่ายสืบสวนจึงติดตามไปจับกุม น.ส.จุฑารัตน์ เอาไว้ได้ ก่อนขยายผลไปจับกุมตัว นายอภิเดช ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน
จากการสอบสวน นายอภิเดช ให้การรับสารภาพว่า เคยคบหาเป็นสามี-ภรรยากับ น.ส.จุฑารัตน์ มาก่อน โดยเมื่อปี 2550 เคยร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์ รถ จยย.ในท้องที่ สน.หนองค้างพลู จนกระทั่ง น.ส.จุฑารัตน์ ถูกจับเมื่อปี 2558 ส่วนตนเองได้หลบหนีหมายจับไปอยู่ตามที่ต่างๆ จนคดีสิ้นอายุความ ต่อมาทราบว่า น.ส.จุฑารัตน์ พ้นโทษออกมาจากเรือนจำเมื่อ 5 เดือนก่อน และพักอาศัยอยู่กับญาติในหมู่บ้านเศรษฐกิจ ย่านเพชรเกษม ตนจึงได้ไปติดต่อและชักชวนมาร่วมก่อเหตุลักทรัพย์ รถ จยย.อีกครั้ง โดยให้ น.ส.จุฑารัตน์ นำรถ จยย.ออกจากบ้าน และพามาก่อเหตุที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนอิสรภาพ โดยครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้รถ จยย.ฮอนด้า รุ่นเวฟ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน จำนวน 1 คัน กระทั่งครั้งนี้ได้ลงมือก่อเหตุเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแกะรอยติดตามไปจับกุมตัวได้ ซึ่งแต่ละครั้งจะมีเอเย่นต์ชื่อนายแมค ไม่ทราบชื่อและนามสกุล โทรศัพท์มาสั่งตนให้นำรถ จยย.ที่โจรกรรมมา ไปจอดไว้ที่ถนนพุทธมณฑล สาย 1 จากนั้น นายแมค จะโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม. เข้าบัญชี โดยให้ค่าจ้างคันละ 6,000 บาท ซึ่งเงินที่ได้ก็จะนำมาแบ่งกันคนละครึ่งกับ น.ส.จุฑารัตน์ อดีตภรรยา เพื่อนำไปใช้จ่ายประจำวัน
ทางด้าน พ.ต.อ.ภูมิยศ กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบภาพผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ร่วมลงมือก่อเหตุอย่างเป็นระบบ มีความเป็นโจรสูง และใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เบื้องต้นทั้ง 2 ราย ยอมรับสารภาพว่าลงมือก่อเหตุแค่ 2 คัน ตามหลักฐานที่มีภาพวงจรปิดบันทึกเอาไว้ได้ แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ จึงอยากประชาสัมพันธ์ไปถึงพนักงานสอบสวน ตามโรงพักต่างๆ ที่เคยรับแจ้งความคนร้ายชายและหญิง ร่วมกันก่อเหตุลัก รถ จยย.เอาไว้ ขอให้นำภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่ที่เกิดเหตุมาเปรียบเทียบกับรูปพรรณและแผนประทุษกรรม ของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เพื่ออายัดตัวดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป.