'บิ๊กโจ๊ก' ลุยจับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ซอยบางลา ป่าตอง เสียหาย100ล้าน
"บิ๊กโจ๊ก” นำทีมลุยจับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ซอยบางลา ป่าตอง จ.ภูเก็ต จำนวน 28 จุด ยึดของกลางกว่า 5 หมื่นชิ้น เสียหายกว่า 100 ล้าน
เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 26 ตุลาคม 2561 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมด้วย พล.ต.ท.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี รักษาการแทน ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.วันชัย เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ. 8, พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และนายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการ กองคดี 1 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตลอดจนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนตัวแทนลิขสิทธิ์ ลงพื้นที่ซอยบางลา ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต รวมจำนวน 28 จุด ตามแผนปฏิบัติการกวาดล้างการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อตรวจสอบและจับกุมการลักลอบจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า
ผลปฏิบัติการตรวจค้นจำนวน 28 จุด ได้ของกลาง จำนวนกว่า 50,000 ชิ้น อาทิ แว่นตาแบรนด์เนม เช่น Rayban, Oakley เป็นต้น กระเป๋าแบรนด์เนม เช่น หลุยส์ วิตตอง, พราด้า, กุชชี่ เป็นต้น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เช่น เสื้อ กางเกง รองเท้า เข็มขัด นาฬิกาหลากหลายยี่ห้อ เช่น Nike, Adidas, Puma, Levi's, Fila, Onitsuka เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย และจับกุมผู้ต้องหาต่างด้าวจำนวนหนึ่ง มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 100 ล้านบาท โดยกล่าวหาว่า “เสนอจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร ” ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 108 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พล.ต.ท.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี รักษาราชการแทน 8 กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมุ่งผลการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ และได้ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8, กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8, กองบังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการระดมกวาดล้างสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าตามสถานที่ท่องเที่ยว โดยเน้นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป ตลอดจนที่ปรากฏในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ได้แก่เฟสบุ๊ค, อินสตาแกรม, ไลน์ และข้อมูลที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ตลอดจนจากการสืบสวนทางออนไลน์ พบข้อมูลว่า ตลาดป่าตอง เป็นสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศนิยมมาทานอาหาร และจับจ่ายซื้อสินค้า รวมทั้งมีการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า จึงได้บูรณาการกำลังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าทลายแหล่งจำหน่ายสินค้าจุดเป้าหมาย และดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมือง กล่าวว่า ภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และแน่นอนว่าเมื่อมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก กลุ่มผู้ค้าต่างๆ ได้อาศัยช่องว่างในการนำตราหรือโลโก้สินค้า โดยเฉพาะแบรนด์เนมต่างๆ เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และลอกเลียนแบบ ทำให้นักท่องเที่ยวหรือผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ รัฐบาลปัจจุบันโดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการกำชับในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และคุ้มครองสิทธิบัตรทางออนไลน์ โดยมีการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
“เข้าใจว่าผู้บริโภคนิยมในส่วนของเครื่องหมายการค้า แต่เรื่องคุณภาพสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องให้ผู้บริโภคเข้าถึงการใช้บริการที่มีคุณภาพ ต้องบอกว่า ณ ปัจจุบัน รัฐบาลไทยและประเทศไทยได้รับการยกเลิกการเป็นประเทศที่ถูกเฝ้าเมองเป็นพิเศษจากประเทศสหรัฐอเมริกา และสถานการณ์การละเมิดลิขสิทธิ์ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการเดินหน้าปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ และการคุ้มครองลิทธิบัตรต่างๆ ยังต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไป”
พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการในครั้งนี้ถือว่ามีปริมาณมาก แต่ส่วนหนึ่งแล้วต้องเข้าใจว่าพ่อค้าแม่ค้าต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่าในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการจับกุมไปแล้ว ได้ เกาะสะมุย พัทยา นครราชมีมา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งทุกจุดที่เดินทางไปจับกุมและบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งทุกจุดเลิกโดยเด็ดขาด พร้อมกันนี้ยังได้มีการสร้างความเข้าใจกับพ่อค้าแม่ค้าให้ขายสินค้าประเภทอื่นที่มีคุณภาพหรือสินค้าพื้นเมืองแทน ส่วนของบุคคลต่างด้าวได้มีการกำหนดวันสิ้นสุดไปแล้วว่า โอเวอร์สเตย์ต้องเป็นศูนย์ การแจ้งบังคับกฎหมายตามมาตรา 38 และต้องเข้าระบบทั้งหมด ซึ่งการปราบปรามในครั้งนี้คนไทยจะต้องมีที่ยืน
"สำหรับปฏิบัติการระดมกวาดล้างแหล่งจำหน่ายสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญนั้น หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการขยายผลไปยังแหล่งผลิต ผู้ที่นำเข้าอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ฝากไปยังผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพหรือต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ ๆ หรือการประกาศขายทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม หากยังดำเนินการอยู่ เจ้าหน้าที่จะทำการจับกุมดำเนิน คดีขยายผลถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตรการยึดทรัพย์ จากความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและ ปราบปรามฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 ( 13) และมีอัตราโทษจาคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่ สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นความผิดมูลฐานตาม กฎหมายฟอกเงิน เพื่อให้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยหมดไป" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าว