'อภิสิทธิ์' ไม่เห็นด้วย ยุบรวม 3 กองทุนหลักประกันสุขภาพ
“อภิสิทธิ์” ไม่เห็นด้วย ยุบรวม 3 กองทุนหลักประกันสุขภาพ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมงานเสวนา เวทีมองไปข้างหน้า “พรรคการเมือง กับการสร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อคนไทยทุกคน” ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กล่าวย้ำว่านโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ต้องสนับสนุนให้เป็นรัฐสวัสดิการ และยืนยันว่าไม่ใช่ประชานิยม พร้อมทั้งไม่เห็นด้วยกับการรวมกองทุนหลักประกันสุขภาพ ทั้ง 3 กองทุน เพราะอาจมีปัญหาในการบริหารจัดการ และการใช้สิทธิ์ของข้าราชการ
โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวถึง ประเด็นที่ประชาธิปัตย์มองถึงความท้าทายในอนาคตของระบบประกันสุขภาพว่า
1. ปัญหาเรื่องระบบการเงินการคลัง ถึงทุกวันนี้เรายังมีปัญหาปีแล้วปีเล่า ที่ สปสช. สำนักงบประมาณ และรัฐบาลยังต้องมาต่อรองอยู่ตลอดเวลา และหลายปีที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาก็มีปัญหาว่าในที่สุดการจัดสรรงบประมาณไม่ได้เป็นไปตามที่ สปสช. คิดว่ามีความจำเป็น การปรับปรุงกติกาของการจัดสรรงบประมาณนี้ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
ส่วนระบบอื่นทีมีอยู่อีก 2 ระบบนั้น ในมุมมองของประชาธิปัตย์ อยากยืนยันว่าเช่น มาตรฐานการรักษาพยาบาล หรือคุณภาพของยา ต้องเท่าเทียมกัน แต่ประเด็นการรวมกองทุนนั้น ประชาธิปัตย์ มีข้อคิดที่ต่างออกไป อย่างเช่น กรณีประกันสังคม พรรคฯ มองว่า คนที่อยู่ในระบบประกันสังคมคือคนที่เสีย 2 ต่อ เสียทั้งภาษีเพื่อมาดูแลระบบของทุกๆ คนอยู่แล้ว และยังเสียเงินสมทบเข้าไป รวมทั้งเงินส่วนหนึ่งที่อยู่ในกองทุนนี้ก็เป็นเงินที่ได้เสียไปแล้ว
ฉะนั้นสิ่งที่ประชาธิปัตย์อยากนำเสนอก็คือ เราควรจะเปิดโอกาสให้คนในระบบกองทุนประกันสังคมตัดสินใจว่าเขาอยากอยู่ในระบบนี้ต่อหรือไม่ ถ้าเขาไม่อยากจะเสียเงินสมทบก็ให้เขาออกมาอยู่กับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ถ้าเขายังมีความประสงค์อยู่ต่อ ก็ให้สมทบเงิน และระบบนี้ก็สามารถแข่งขันกันได้ เพียงแต่มาตรฐานพื้นฐานของการรักษาพยาบาล กับคุณภาพยาต้องเท่าเทียมกัน
ส่วนกรณีของราชการ มองว่าคนที่เข้ามารับราชการบนเงื่อนไขที่คิดว่าเขาจะได้รับสิทธิ์นี้ ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ควรจะเริ่มต้นจากคนที่เข้ารับราชการใหม่ และต้องพูดตามความเป็นจริงว่า คนจำนวนมากที่ตัดสินใจเข้ามารับราชการนี้ยอมที่จะได้เงินเดือนต่ำกว่าถ้าเขาไปอยู่ภาคเอกชน เพื่อที่จะแลกกับสวัสดิการนี้ ในต่างจังหวัดเราจะพบครอบครัวจำนวนมากที่พ่อแม่คิดอย่างนี้ แล้วพยายามสนับสนุนให้ลูกเข้ารับราชการ เพราะฉะนั้นในส่วนของพรรคฯ มองว่าถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ก็ต้องมีการชดเชยในส่วนของคนที่เป็นข้าราชการว่าสิทธิที่เขาคิดว่าเขาพึงจะได้นี้ แล้วเราไปเอาออกมาจากเขา เขาจะได้รับการชดเชยอย่างไร
ประเด็นหลักที่อยากย้ำก็คือ เราอย่าไปมองว่ารวมกองทุน ถ้าเราคิดว่าจะมาสร้าง หรือยกระดับมาตรฐานให้ดีขึ้น เพราะสิ่งที่เกรงก็คือ ถ้าเรารีบไปสู่การยุบกองทุน กลับมองว่าไม่แน่ใจว่า ถ้าบริหารจัดการในแบบปัจจุบันแล้ว คุณภาพของคนในระบบหลักจะดีขึ้น แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่หลายคนเคยได้จากระบบราชการก็ดีอาจจะเสื่อมถอยลง นั่นไม่ควรจะเป็นเป้าหมาย ประเด็นหลักก็คือต้องหาเงินมาสนับสนุนให้เพียงพอ
ที่สำคัญก็คือ ระบบสวัสดิการที่มาจากภาษี เรายังไม่ได้พูดกันเลยว่า ระบบภาษีนี้เป็นธรรมหรือไม่ เพราะขณะนี้ภาษีของเรามีลักษณะถดถอยค่อนข้างมาก ถ้าเราพยายามหาเงินให้พอ แต่สุดท้ายเราต้องไปสู่ระบบ VAT 20% ก็ไม่เป็นประโยชน์ในแง่ของการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ตรงกันข้ามในแง่ของภาษีเงินได้ กลายเป็นว่ามนุษย์เงินเดือนไม่ได้มีรายได้มาก ซึ่งข้าราชการส่วนใหญ่ก็อยู่ในกลุ่มนี้ ก็เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะถูกหัก ณ ที่จ่าย แต่คนที่มีรายได้สูงจริงๆ รวยจริงๆ กลับมีช่องโหว่ช่องว่างในการที่ไม่ต้องเสียภาษี โดยได้รับสิทธิยกเว้นต่างๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้คือโจทย์ที่ประชาธิปัตย์มองว่าสำคัญในการสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำ
ส่วนกรณีของโรงพยาบาลเอกชนนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเข้าไปควบคุม เพราะกฎหมายปัจจุบันนี้อ่อนเกินไปที่ให้เพียงแค่แจ้งค่าบริการนั้นมันไม่เพียงพอ สำคัญก็คือในแง่ของการบริหารทรัพยากรในภาพรวมทั้งหมด เรามีความจำเป็นที่จะต้องมีนโยบายที่เชื่อมโยงกับเรื่องของการสร้างเสริมสุขภาพ ประชาธิปัตย์ก็เป็นผู้ที่สนับสนุนระบบของ สสส. ระบบของสมัชชาสุขภาพ ที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และในช่วงที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เราก็มีความชัดเจนในการเคารพสิ่งที่ปรากฎอยู่ในธรรมนูญสุขภาพ ก็คือการไม่ให้รัฐบาลไปสนับสนุนธุรกิจด้านการรักษาพยาบาลและสุขภาพ เพราะนั่นจะเป็นตัวที่สร้างความเหลื่อมล้ำ และดึงทรัพยากรออกไปจากบริการของภาครัฐ
ดังนั้นการลดความเหลื่อมล้ำ สำหรับพรรคฯ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องยืนยัน เช่นเดียวกันกับกระบวนการพัฒนาทั้งหมด เรามีความจำเป็นที่จะต้องพูดให้ชัด ประชาธิปัตย์ก็บอกว่า วันนี้คุณภาพชีวิตของคน ความก้าวหน้า ความเป็นอยู่ของผู้คนทางเศรษฐกิจ จะไปผูกติดกับตัวเลข GDP อีกต่อไปไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นตัวสะท้อนที่ดีอีกต่อไป เพราะฉะนั้นนโยบาย กระบวนการที่พรรคฯ ทำอย่าง สมัชชาสุขภาพขึ้น ก็เพื่อที่จะให้นโยบายไม่ใช่เฉพาะด้านสาธารสุข แต่นโยบายสาธารณะทุกมิติจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาวะของผู้คน โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งระบบเหล่านี้จะเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดที่ทำให้ประเทศเดินหน้าได้