'สุวัจน์' หนุนเพิ่มบริษัทใหม่จดทะเบียน ผลักดันตลาดหุ้นไทย
พรรคการเมืองแห่ประชันนโยบายผลักดันตลาดหุ้นไทย "สุวัจน์" หนุนเพิ่มบริษัทจดทะเบียนเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ เพิ่มตลาดโลว์แคปรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพตลาดหุ้น
เมื่อวันที่ 25 ม.ค.62 ในงานงานสัมมนา "นโยบายเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยภายใต้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง"
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวว่า ใน 4 ปีข้างหน้า จะผลักดันให้บริษัทใหม่ๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) และสตาร์ทอัพ ให้มีโอกาสเกิดและเพิ่มขีดความสามารถมากขึ้น ที่ต้องการให้เกิดเพิ่มมากขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการเพิ่มตลาดโลว์แคปด้วย ขณะเดียวกัน ยังอยากเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดหุ้นไทย ด้วยการนำงานวิจัยและบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ออกมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อให้มีความเป็นสากล
นอกจากนี้ ต้องปลดล็อคศักยภาพของตลาดทุน เพราะเป็นมันสมองของประเทศ ความร่ำรวยอยู่ที่ตลาดทุนมหาศาล หากปลดล็อคนำมาใช้ข้างนอกบ้าง จะทำให้ตลาดทุนเองเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน อยากให้ตลาดทุนร่วมกันผลิตที่ปรึกษาทางการเงิน (เอฟเอ) โดยใช้กลไกจากกองทุนพัฒนาตลาดทุน ให้ออกไปช่วยผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กบ้าง เพราะบางรายยังคงต้องการความช่วยเหลือในการฟื้นฟูกิจการ และยังมีศักยภาพดีอยู่
ส่วนนายกรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการคณะนโยบายพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ใน 4 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 2,500 จุด สะท้อนถึงการประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ, ตั้งเป้าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีผลประกอบการที่มาจากการค้ากับต่างประเทศ มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50%, การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในตลาดทุน, พิจารณาเรื่องบจ.ที่รัฐวิสาหกิจมีอำนาจผูกขาด และเพิ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ แห่งที่ 2 หรือตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอล(คริปโทเคอร์เรนซี)
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO)กล่าวว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น คาดว่า จะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 5 หมื่นล้านบาท และหลังเลือกตั้งหรือช่วงที่ได้รัฐบาลใหม่ ช่วงประมาณเดือนเมษายน 2462 จะมีเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้น หรือนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยประมาณ 100,000 ล้านบาท หลังจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 600,000 ล้านบาท
“ความกังวลของนักลงทุนไม่ได้อยู่ที่ว่าพรรคการเมืองใดจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลใหม่ แต่ขึ้นอยู่กับการสานต่อนโยบายการบริหารงานว่าจะเกินปีครึ่งหรือไม่ และเดินหน้าได้อย่างมีเสถียรภาพ”