คุกตลอดชีวิต 'โมนา' อดีตผู้เข้าประกวดนางงาม ฆ่าสาวใช้
ศาลชี้พยานหลักฐานอัยการโจทก์แน่น มีลูกสาวเล่าเหตุก่อนทำร้าย สั่งจำคุกตลอดชีวิตพร้อมให้ชดใช้แม่ผู้ตาย กว่าล้านหกหมื่น ด้าน "แม่น้องน้ำ" พอใจคำพิพากษา ไม่ให้อภัย แต่ขออโหสิกรรมแทนลูก ให้ไปสู่สุขคติ
เมื่อวันที่ 20 ก.พ.62 เวลา 10.15 น. ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีทำร้ายร่างกาย น้องน้ำ สาวใช้ เอาศพฝังดิน คดีหมายเลขดำ อ.3966/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.กฤษณา สุวรรณพิทักษ์ หรือโมนา อายุ 47 ปี ชาว จ.เพชรบุรี อดีตผู้เข้าประกวดสาวงาม , น.ส.ปรารถนา ท้วมทรัพย์ หรือเม้า อายุ 34 ปี เพื่อนรุ่นน้องคนสนิท (สาวทอม) และ นายปราโมทย์ สุวรรณพิทักษ์ หรือผู้ใหญ่บอย อายุ 46 ปี ซึ่งเป็นพี่ชาย เป็นจำเลยที่ 1-3 โดยยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และ จำเลยที่ 2-3ในความผิดฐานร่วมกัน ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ประกอบมาตรา 83
โดยโจทก์ ยื่นฟ้องว่า เมื่อช่วงเดือน ก.พ.- มี.ค.55 น.ส.จริยา ศรีศักดิ์ หรือน้องน้ำ อายุ 15 ปี ได้มาทำงานเป็นสาวรับใช้ กับ น.ส.กฤษณา จำเลยที่ 1 ที่บ้านพัก หมู่บ้านกลางกรุงรัชวิภา แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม. ช่วงต้นเดือน เม.ย. - วันที่ 12 เม.ย.55 จำเลยที่ 1 ซึ่งมีเจตนาฆ่าได้ใช้ของแข็งไม่มีคม เป็นกระป๋องสเปรย์ ยาวประมาณ 1 ฟุต ทุบตีที่ศีรษะ น.ส.จริยา หลายครั้งซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญได้รับแรงกระแทก และยังใช้ท่อต่อพลาสติก เครื่องดูดฝุ่นทุบตีบริเวณต้นขา และใช้ที่หนีบผมขณะที่ยังมีความร้อนจี้ตามลำตัวจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเมื่อวันที่ 15 เม.ย.55 จำเลยที่ 2-3 ร่วมกันเคลื่อนย้ายศพ ซึ่งได้มีการขุดหลุมฝังศพผู้ตายที่ข้างบ้านพักใน จ.เพชรบุรี โดยจำเลยที่ 1-2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธแต่ก่อนการสืบพยานในชั้นศาล ได้ขอให้การรับสารภาพที่ถูกฟ้อง ฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ขณะที่ นางจันทิรา ศรีศักดิ์ มารดาผู้ตาย ได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากกรณีดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 1,465,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1-3 ได้รับการประกันตัว โดยวันนี้ โมนา-น.ส.กฤษณา จำเลยที่ 1 เดินทางมาศาลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับเพื่อนคนสนิท ขณะที่ น.ส.ปรารถนา จำเลยที่ 2 และ นายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 มีใบหน้าเรียบเฉย ฝ่ายครอบครัวผู้ตาย ก็มี นางจันทิรา มารดาของผู้ตาย เดินทางมาพร้อมกับญาติเพื่อร่วมฟังคำพิพากษาด้วย
ขณะที่ ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลยนำสืบแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อเดือน ก.พ.- มี.ค.55 จำเลยที่ 1 ต้องการหาเด็กมาช่วยทำงานบ้าน ซึ่งมีผู้แนะนำน.ส.จริยา โดยมารดาของผู้ตายได้พา น.ส.จริยา ซึ่งขณะนั้นอายุ 15 ปีไปพบกับจำเลยที่ 1 ที่บ้าน จ.เพชรบุรี ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้พาผู้ตายมาทำงานที่บ้านพักใน กทม. ที่ได้พักอยู่กับบุตรสาวและจำเลยที่ 2 ที่เป็นเพื่อนรุ่นน้อง แต่เมื่อผู้ตายเสียชีวิต จำเลยที่ 1 ได้แจ้งกับมารดาผู้ตายว่าผู้ตายได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ ซึ่งมารดาผู้ตายได้พยายามติดตามหาบุตรสาวกระทั่งเดือน พ.ย.60 มารดาผู้ตายได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม แล้วต่อมาได้ขุดพบโครงกระดูกข้างบ้านพักของมารดาจำเลยที่ 1 ซึ่งได้มีการตรวจดีเอ็นเอแล้วตรงกับของมารดาผู้ตาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า พนักงานสอบสวนกองปราบปราม มีอำนาจสอบสวนหรือไม่
ศาลเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 16 ได้บัญญัติเกี่ยวกับอำนาจพนักงาน อัยการหรือ ตำรวจไว้ที่จะให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยอำนาจของตำรวจนั้นๆ ขณะที่ตาม พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 บัญญัติให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีอาญา มีฐานะเทียบเท่ากองบัญชาการ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติงานหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมายและปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่นเกี่ยวกับความผิดทางอาญาทั่วราชอาณาจักรหรือที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งคดีนี้ เมื่อมีการแจ้งความร้องทุกข์ต่อมา ผบก.กองปราบปราม ก็ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ในการติดตามรวบรวมหลักฐานจนมีการดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1-3 จึงเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และโจทก์มีอำนาจฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 1-3 ได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น ในส่วนของ นายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 ได้รับสารภาพก่อนการสืบพยาน ในความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลงฯ ตามมาตรา 184
โดยที่จำเลยที่ 1 และ 2 ซึ่งให้การปฏิเสธ ซึ่งโจทก์ มีบุตรสาวของจำเลยที่ 1 ที่เห็นเหตุการณ์ทุบตีผู้ตายก่อนเสียชีวิต มาเบิกความว่า ช่วงต้นเดือน เม.ย.55 ระหว่างที่ได้นั่งดูทีวีกันอยู่นั้น จำเลยที่ 1 ก็ได้คว้ากระป๋องสเปรย์ดับกลิ่นอากาศ มาตีผู้ตายหลายครั้ง ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็พยายามห้ามปราม จากนั้นจำเลยที่ 1ให้จำเลยที่ 2 พาตัวผู้ตายลงไปชั้นล่างของบ้าน ภายหลังพยานก็ทราบว่าผู้ตายถูกทำร้ายร่างกายและได้เห็นจำเลยที่ 1 และ 2 ชำระล้างร่างกายให้กับผู้ตายขณะที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าด้วย โดยเห็นมีแผลฟกช้ำตามร่างกายผู้ตายหลายแห่ง และจากนั้นก็พบว่าผู้ตายได้เสียชีวิตลักษณะนั่งพิงกำแพง โดยไม่สวมเสื้อผ้าอยู่ที่ห้องครัว ซึ่งเป็นประจักษ์พยาน หากไม่เป็นความจริงบุตรสาวคงไม่ให้การถึงมารดาในพฤติการณ์ที่จะเป็นความผิดร้ายแรง
นอกจากนี้ยังมีคำให้การของจำเลยที่ 2 ทั้งในฐานะพยานและผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนที่ให้การไว้ถึง 5 ครั้ง เป็นการเล่าเหตุการณ์ที่ตรงกันหมดที่มีการทุบตีทำร้ายผู้ตาย จนมาเสียชีวิตภายหลัง และพยานหลักฐานอื่นๆ ทั้งจากมารดาผู้ตาย และจากพนักงานสอบสวนที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานทราบว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้กระป๋องสเปรย์ดับกลิ่นอากาศ ที่ยังมีน้ำยาปรับอากาศมีน้ำหนักพอสมควร ไปทำร้ายผู้ตายด้วยการตีที่ศีรษะอย่างแรง และต่อมายังใช้ท่อข้อต่อพลาสติกเครื่องดูดฝุ่นตีตามร่างกายผู้ตายอีก รวมทั้งใช้เครื่องม้วนผมที่มีความร้อนจี้ตามลำตัวเป็นบาดแผล ซึ่งก่อนเสียชีวิต ผู้ตายถูกนำตัวไปพักอยู่ที่ชั้น 3 โดยจำเลยที่ 1 ให้ซื้อแพมเพิส , แผ่นรองกันเปื้อน มารองบนที่นอนปิกนิก เพราะกลัวว่าผู้ตายจะอุจจาระหรือปัสสาวะราดเลอะบนที่นอนเพราะขณะนั้นผู้ตายก็ไม่มีแรง แต่เมื่อผู้ตายได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดในช่วงเวลากลางคืน จำเลยที่ 1 จึงให้พาตัวผู้ตายลงไปอยู่ที่ชั้นล่าง ระหว่างนั้นก็พบว่าผู้ตายเคยอาเจียนออกมามีลักษณะสีเขียวคล้ำ แล้วพบว่าผู้ตายได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา จำเลยที่ 1 ก็พยายามโทรหาคนใกล้ชิดในครอบครัวเพื่อสอบถามว่าจะดำเนินการอย่างไร
โดยครั้งแรกจำเลยที่ 1 จะให้จำเลยที่ 2 ช่วยกันนำศพผู้ตายไปเผาที่วัดแห่งหนึ่งใน จ .เพชรบุรี แต่ไม่มีใบมรณะบัตรทางวัดจึงไม่ดำเนินการดังกล่าว ขณะที่มารดาของจำเลยที่ 1 ก็จะให้จำเลยที่ 1ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ แต่จำเลยที่ 1 เกิดความกลัวเพราะเป็นห่วงที่จะมีรอยนิ้วมือเต็มไปหมด ต่อมาจำเลยที่ 1 จึงได้ให้จำเลยที่ 2-3 ช่วยเหลือนำศพมาฝังดินที่รั้วข้างบ้านของนายดำใน จ.เพชรบุรีโดยอ้างกับนายดำว่าจะขุดหลุมฝังลูกวัว ซึ่งจำเลยที่ 2-3 ก็ได้ช่วยกันหามศพผู้ตายข้ามรั้วมาฝังดินที่ใต้ต้นตาล โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อผ้าขาวนำมาห่อศพผู้ตายโดยจำเลยที่ 1-2 นำใส่รถขับมาจากกรุงเทพฯ
ขณะที่ทางนำสืบ ยังมีพยานหลักฐานเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของจำเลยที่ 1 ด้วยว่า เป็นคนโมโหร้าย ไม่ชอบคนดื้อ แต่ถ้าดีก็ดีใจหาย โดยจำเลยที่ 1 ก็เคยทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 และยังเคยมีเหตุการณ์ทำร้ายจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกันกับจำเลยที่ 1 เพราะเหตุไม่พอใจที่จำเลยที่ 2 นำเรื่องที่ได้พากันไปเที่ยวของครอบครัวภายในบ้านไปเล่าให้บุคคลอื่นฟัง นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเคยทำร้ายแฟนหนุ่มของบุตรสาวจนหัวแตกด้วยกล่องกระดาษทิชชูไม้และยังใช้ไม้แขวนเสื้อตีจนแตก แล้วยังนำเข็มขัดมาฟาดจนหัวเข็มขัดหลุด กับยังใช้เครื่องมือที่บีบสิว มาบีบทำร้ายตามร่างกายอีกหลายแห่ง เพราะไม่พอใจเรื่องที่แฟนหนุ่มของบุตรสาวจะพาออกไปเที่ยว และได้ความว่า จำเลยที่ 1 เห็นว่าผู้ตายดื้อ ใช้อะไรก็ไม่ค่อยทำตามจึงทำร้ายร่างกาย
พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคง สอดคล้องกัน โดยการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ซึ่งใช้ของแข็งที่มีน้ำหนักพอสมควรทุบตีด้วยความแรง เป็นการเล็งเห็นผลว่าจะถึงแก่ความตายได้ ซึ่งผลการชันสูตรศพ แพทย์ก็ระบุว่า สภาพกระดูกที่ขุดพบนั้น กรามด้านซ้ายของผู้ตายได้หักลง ซึ่งปกติกระดูกส่วนนี้จะมีความแข็งแรงมากดังนั้นแสดงว่าถูกกระทบอย่างรุนแรง และในช่วงของกระดูกสันหลังที่แตกหักก็พบว่าได้เกิดขึ้นก่อนการเสียชีวิต ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าไม่ฆ่าผู้ตาย นั้นไม่มีน้ำหนัก การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามมาตรา 288 ให้จำคุกตลอดชีวิต และให้ชดใช้ มารดาผู้ตาย ที่ต้องขาดไร้อุปการะจากบุตรสาวที่เสียชีวิต รวมทั้งค่าปลงศพด้วย เป็นเงินทั้งสิ้น 1,065,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีที่ผิดนัดชำระ นับตั้งแต่วันที่มานดาผู้ตายยื่นคำร้องให้ชดใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.55
ส่วน น.ส.ปรารถนา จำเลยที่ 2 และ นายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลงฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยคำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 1 ปี 4 เดือน
ส่วน นายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 รับสารภาพก่อนสืบพยาน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ซึ่งแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แล้วเป็นการกระทำที่ร้ายแรง แม้จำเลยที่ 3 จะเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านทำคุณงามความดีมาก่อนและเยียวยามารดาผู้ตายแล้วก็ตามก็ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาเสร็จแล้ว จำเลยทั้งสาม ก็ได้ยื่นคำร้อง พร้อมหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ โดยขณะนี้เวลา 16.00 น. คำร้องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ด้านนางจันทิรา ศรีศักดิ์ อายุ 49 ปี มารดาของน้องน้ำ ผู้ตาย กล่าวว่า พอใจกับคำพิพากษา ที่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ตามที่ตนร้องขอความเป็นธรรมมาตลอด ขณะนี้ น้องน้ำ ได้รับความยุติธรรมแล้ว ฟ้ามีตา สวรรค์มีใจ ให้คนทำผิดได้รับโทษ
เมื่อถามว่า จะอโหสิกรรมให้คนทำผิดหรือไม่ นางจันทิรา กล่าวว่า คนก่อเหตุเขาทำโดยที่ไม่คิดอะไรเลยว่าน้องจะเจ็บปวดแค่ไหน ด้วยความเป็นแม่ ตนไม่เคยให้อภัย แต่ขออโหสิกรรมแทนน้อง เพื่อน้องจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ได้ไปเกิด โดยหลังเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วตนวางแผนจะทำบุญให้บุตรสาวอีกครั้งหนึ่ง
"อย่าคิดว่าทำผิดแล้วจะไม่ได้รับโทษ แม่เองเป็นผู้เสียหายยังรู้สึกทุกข์ใจ ร้อนรน มีความเจ็บอกเจ็บใจอยู่ตลอดเวลา แต่คนที่ทำผิดกลับไม่รู้สึกอะไร หลังฟังคำตัดสินเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับแม่ ยังยิ้มอย่างสบายใจ แม่ยังบอกว่าหัวใจทำด้วยอะไร เลือดเย็นเหลือเกิน ไม่มีสลด ไม่มีน้ำตา ไม่มีความสำนึกอะไร ยิ่งเห็นการกระทำของเขาแบบนี้แม่ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมาก ตีน้องเหมือนไม่ใช่คน น้องตัวแค่นั้น ยังทำได้ขนาดนี้" นางจันทิรา กล่าว