จับชาวจีนสวมบัตรปชช. หลอกทำธุรกิจอสังหาฯ คาดเสียหาย200ราย
"บิ๊กโจ๊ก" นำทีมจับกุมชาวจีนสวมบัตรประชาชนไทย อ้างตัวเป็นนักธุรกิจ เปิดบริษัทหลอกชักชวนชาวจีนร่วมทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ คาดเสียหาย 200 ราย พบเงินหมุนเวียนอื้อ
ที่ห้องประชุม ศปก.ตม.2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 18.30 น. - พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. พร้อมด้วย นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตำรวจ บช.สตม. ตำรวจ บช.ทท. และตำรวจชุด ศปอส.ตร. ร่วมกันแถลงข่าว จับกุมบุคคลที่ใช้ชื่อ นายธวัชชัย เลายี่ปา หรือ นายจาง ชิงโป๋ (Mr.Zhang Qing Po) ชาวจีน บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน สวมบัตรประชาชนไทย แอบอ้างเป็นนักธุรกิจไทย เปิดบริษัทชักชวนชาวจีนมาร่วมลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย พบเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 10 ล้านบาท พร้อมของกลางบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบอนุญาติของหน่วยงานราชการต่างๆจำนวนหลายใบ โดยสามารถจับกุมได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ดำเนินการเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะอาชญากรรมที่ชาวต่างชาติได้เข้ามากระทำความผิด ในประเทศไทย และมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. ในฐานะรอง ผอ.ศปอส.ตร. พล.ต.ท.ธีรพล คุปตานนท์ ผบช.ทท. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ทำการสืบสวนจับกุม บุคคลที่ใช้ชื่อ นายธวัชชัย เลายี่ปา หรือ นายจาง ชิงโป๋ (Mr.Zhang Qing Po) ชาวจีนที่ทำการทุจริตสวมบัตรประชาชนคนไทย
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.3 บก.ทท.1 สืบทราบว่า มีบุคคลที่ใช้ชื่อว่า นายธวัชชัย เลายี่ปา สร้างภาพลักษณ์ว่าตนเป็นคนไทยที่ประสบความสำเร็จ ในการประกอบธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย อีกทั้งมีพฤติกรรมชักชวนชาวจีนให้เข้ามาร่วมลงทุน และเป็นเจ้าของบริษัทประกอบธุรกิจนำเที่ยว นายธวัชชัย ได้เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข่าวสารของตนเองลงในเว็บไซด์ของจีนในชื่อ นายจาง ซี หนี (Mr.Zhang Xi Ni) จึงได้ทำการสืบสวนจนพบว่า นายธวัชชัย เป็นบุคคล สัญชาติและเชื้อชาติจีน ชื่อจริง นายจาง ชิง โป๋ (Mr.Zhang Qing Po) ได้เดินทางเข้ามาในประเทศ เมื่อประมาณ พ.ศ.2552 ต่อมาได้ทำการทุจริตสวมบัตรประชาชนของนายธวัชชัย เลายี่ปา เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2558 ที่ว่าการอำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย และเชื่อว่ามีผู้เสียหายกว่า 200 ราย
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดเทิง ออกหมายจับบุคคลที่ใช้ชื่อ นายธวัชชัย เล่ายี่ปา ในความผิดฐาน “ทำหรือใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้าน หรือเอกสารทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ, ยื่นคำขอมีบัตรโดยไม่มีสัญชาติไทยด้วยการแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตร, แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตาม มาตรา265 มาตรา266หรือมาตรา267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”ตามหมายจับศาลจังหวัดเทิงที่ จ.7/2562 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562
ต่อมาวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจได้ร่วมกันจับกุมตัว บุคคลที่ใช้ชื่อว่า นายธวัชชัย เล่ายี่ปา หรือ นายจาง ชิง โป๋ (Mr.ZHANG QING PO) ผู้ต้องหา ได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะที่กำลังเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพว่า ตนเองเป็นชาวเหอหนาน ประเทศจีน และได้ทำการสวมบัตรประชาชน ของนายธวัชชัย เลายี่ป่า จริง ภายหลังจากที่ได้บัตรประชาชนไทยแล้ว ได้นำบัตรประชาชนไทยที่ได้ ไปทำการจดทะเบียนบริษัทหลายบริษัท และทำธุรกรรม ต่างๆ ในชื่อของนายธวัชชัย เลายี่ปา มาโดยตลอดจากการสืบสวนขยายผลเข้าตรวจค้นที่พัก และที่ตั้งบริษัท พบว่า ผู้ต้องหามีพฤติกรรมชักชวนชาวจีน เข้ามาร่วมลงทุน ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียม ที่ดินในพื้นที่เขตอุตสาหกรรม และที่ดินในแหล่งท่องเที่ยว โดยมีเงินหมุนเวียน หลายสิบล้านบาท อีกทั้งยังดำเนินการในรูปแบบสมาคมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ
“อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของผู้ต้องหารายนี้ นับว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างยิ่ง มีการใช้บัตรประชาชนที่ได้จากการสวมบัตรประชาชนไทย จดทะเบียนบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว ขอทำใบอนุญาตขับขี่ และหนังสือเดินทาง เป็นการไม่เคารพกฎหมายไทย ซึ่งชุดสืบสวนจะได้ทำการสืบสวนขยายผล หาผู้ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง เบื้องต้นได้ทำการแจ้งข้อหา ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป” ผบช.สตม. ระบุ