'เนวิน' ยันจัดงาน 'พันธุ์บุรีรัมย์' ถูกต้องตามกฎหมาย
"เนวิน" ยันจัดงาน "พันธุ์บุรีรัมย์" ทำถูกต้องตามกฎหมาย ย้ำมุ่งให้คนไทยเข้าใจ เข้าถึงกัญชาทุกมิติ มั่นใจเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศ ต่อยอดเชิงอุตสาหกรรม ขณะที่ม.รังสิตเปิดรับสมัครคนป่วยใช้กัญชารักษาแล้วหายเข้าร่วมวิจัย หวังถอดองค์ความรู้
เมื่อวันที่ 8 มี.ค.62 ในการแถลงข่าวการจัดกิจกรรม "กัญชา"เพื่อการแพทย์ครั้งแรกในประเทศไทย "พันธุ์บุรีรัมย์" ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 เมษายน 2562 บริเวณสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เนื่องจากวันที่ 20 เมษายน เป็นวันกัญชาโลก โดยนายธีรวัฒน์ วุฒิคุณ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า เมื่อพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้ให้สามารถนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ จังหวัดดจึงมองว่ามีความจำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อนให้ประชาชนมีข้อมูลเกี่ยวกับกัญชาครอบคลุมทุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำ เมล็ดพันธุ์ หรือสายพันธุ์ต่าง กลางน้ำ ในเรื่องการปลูกหากมีการให้ปลูกกัญชาได้ในอนาคตก็จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่เป็นทางเลือกของเกษตรกรแทนพืชเดิมๆ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อยหรือยางพาราและปลายน้ำเป็นน้ำมันสกัดจากัญชาที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ จังหวัดจึงจัดงานนี้ขึ้น โดยหวังว่าองค์ความรู้ต่างๆที่จะมีการถ่ายทอดในงานนี้จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ
นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริษัทบุรีรัมย์ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด กล่าวว่า การจัดงานเป็นการทำตามกฎหมายทุกอย่างแน่นอน โดยมีเป้าหมายต้องการให้คนไทยเข้าใจ และเข้าถึงเกี่ยวกับกัญชา โดยเข้าใจในการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทั้งภูมิปัญญาทางการแพทย์ในการรักษาโรค และโภชนาการของประเทศไทย เพราะประโยชน์ไม่ใช่แค่รักษาแต่ปรุงอาหารเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงไม่ป่วยด้วย รวมถึง เข้าใจข้อกำหนดของกฎหมายต่างๆ การปลูก วิธีการทำยา จะต้องมีความเข้าใจทั้งหมดตั้งแต่การปลูกจนแปรรูป ในการเข้าถึง คนไทยต้องเข้าถึงยากัญชาในโรคที่สามารถใช้รักษาได้ โดยไม่ใช่เป็นการหายจากโรคที่เป็นแต่เกิดโรคหนี้ขึ้นมาใหม่ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อยากัญชามาใช้ จึงต้องเปืดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงองค์ความรู้ในการที่ผลิตยาเพื่อใช้เองได้ด้วย หรือหากต้องซื้อจะต้องไม่มีราคาแพง
อีกทั้ง เชื่อว่ากัญชาจะเป็นพืชเปลี่ยนเศรษฐกิจ หากทำให้ถูกต้องและทุกคนเข้าถึงได้ และรับรู้ว่าจะสามารถนำมาต่อยอดเชิงอุตสาหกรรมในการทำเป็นธุรกิจอย่างไร ซึ่งต่างประเทศนำมาผสมเป็นอาหาร เครื่องดื่ม จะเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการเป็นสตาร์ทอัพ หรือเป็นสินค้าโอทอปที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม เช่น ชาไข่มุกกัญชา กาแฟกัญชา หรือสินค้าโอทอปที่เชื่อว่าจะขายดี ไม่ใช่ผลิตแล้วขายไม่ได้อย่างสินค้าโอทอปที่เคยส่งเสริมกัน เพราะมั่นใจว่าการใช้กัญชาปรุงอาหารเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ยกตัวอย่าง เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ใช้เวลา 1 ปี หลังจากกฎหมายให้ใช้กัญชาเสรี สร้างรายได้ถึง 3 พันล้านเหรีญสหรัฐต่อปี หากเมืองไทยทำได้จะสร้างรายได้นับแสนล้านบาท โดยที่ทุกคนมีงานทำและมีรายได้ คนไทยจึงต้องสู้เรื่องนี้หากไม่สู้เกรงว่าจะเกิดระบบสัมปทานกัญชาจนทำให้คนไทยเข้าไม่ถึงการใช้ประโยชน์จากกัญชา
"พันธุ์บุรีรัมย์ไม่ใช่สายพันธุ์กัญชา แต่ต้องการให้คนมีแนวคิดแบบคนบุรีรัมย์ คือ กล้าคิดใหม่ และเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะถ้ายังคิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ผลที่เกิดขึ้นก็แบบเดิม ที่ผ่านมาผมทำเรื่องการกีฬาทำให้คนบุรีรัมย์มีรายได้มากขึ้น แต่ยังไม่ปลอดหนี้ มั่นใจว่าหากทำให้กัญชาเสรีจริง ชาวบ้านเกษตรกรสามารถปลูกได้ ภายใน 3 ปี คนบุรีรัมย์จะหมดหนี้ การจัดงานจึงต้องการให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงสิทธิในการปลูกได้ ไม่ใช่เป็นการส่งเสริมให้คนไทยเดินสูบกัญชากันอย่างเสรี แต่จะเป็นการรักษาภูมิปัญญาให้เป็นของทุกคนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม สามารถทำเป็นอาชีพและรายได้ใหทั้งเกษตรกรและสตาร์ทอัพ" นายเนวินกล่าว
ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย กล่าวว่า กัญชามีการใช้ประโยชน์ในตำรับยาไทยมีปรากฎตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ที่ผ่านมาต่างชาติมากำหนดว่าเป็นยาเสพติดต้องทำลาย แต่ในช่วงเวลาที่ไทยมุ่งทำลายต่างชาติกลับมีการศึกษาวิจัยและออกเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆออกมาขายในราคาแพง การขับเคลื่อนเรื่องกัญชาจึงเป็นการทวงคืนพืชสมุนไพรให้กลับคืนมาสู่ประเทศไทย เพราะเป็นสมบัติชาติเป็นของทุกคน โดยไม่แบ่งสีเสื้อ ไม่แบ่งความคิดทางการเมือง
"มหาวิทยาลัยรังสิตจะเป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ โดยได้ร่วมมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อวิจัยกัญชาสายพันธุ์ต่างๆที่มีอยู่ของไทย เพื่อให้ทราบว่ามีสารสำคัญอะไร อย่างไรและประกาศให้ทั่วโลกรับรู้ว่าพันธุ์ไทยมีดีตรงไหน วิจัยตำรับยาไทย 2 ตำรับ คือ ตำรับยาประสะกัญชา และอัมฤตย์โอสถจะทำให้ตำรับยาไทยโกอินเตอร์ ไประดับนานาชาติให้ได้ นอกจากนี้ เปิดรับกรณ๊ศึกษาผู้ป่วยที่ใช้กัญชาแล้วหายจากโรคทั้งหมดเข้ามาร่วมโครงการวิจัย เพื่อศึกษาให้ทราบว่าท่านมีวิธีการใช้อย่างไร หายอย่างไร และหายจริงหรือไม่แล้วจะประกาศให้ชาวโลกรับรู้" นายปานเทพกล่าว