"ศรีวราห์" ไม่ห่วงคืนหมาหอนเลือกตั้งใหญ่ กำชับปฏิงานตามกรอบกม. สั่งเพิ่มกำลังดูแล3จว.ภาคใต้ เผย จับอดีตผญบ.โคราช เอี่ยวซื้อเสียงจริง-ไม่ได้ใส่ร้ายพรรคใดพรรคหนึ่ง
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.)ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้ง (ผอ.ศลต.ตร.) ประชุมวิดีโอคอนเฟอเร็นซ์ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค1-9 บชน. ศชต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเน้นย้ำการปฏิบัติงานดูแลความสงบเรียบร้อยในวันเลือกตั้งใหญ่ 24 มีนาคม นี้ ว่า วันนี้ประชุมอยู่2เรื่อง คือการดูแลความสงบเรียบร้อยในวันเลือกตั้ง และเรื่องงบประมาณที่กกต.มอบให้กับตำรวจเพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน โดยเน้นย้ำว่าอย่าอม อย่าทุจริตการใช้งบประมาณ ถ้าใช้ไม่หมดก็ต้องทำเรื่องส่งคืนกกต. ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งมีการสั่งเพิ่มกำลังพลในการดูแลความสงบเรียบร้อยตามจุดต่างๆ หน่วยเลือกตั้งต่างๆ ส่วนเรื่องการจัดการเลือกตั้งหรือการทำผิดกฎหมาย เช่น การเซลฟี่กับบัตรเลือกตั้ง การฉีกบัตรเลือกตั้ง ไม่ค่อยน่าห่วงเพราะกกต.ดูแลอยู่
รองผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ไม่ได้เป็นห่วงช่วงโค้งสุดท้ายคืนหมาหอน ซึ่งตนไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่สั่งทุกกองบัญชาการ ทุกหน่วยนั้นปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ ฐานความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและพรรคการเมือง ที่จ่ายแจกให้กับตำรวจทุกหน่วยงานทั่งประเทศ หากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และไม่ได้มีความกังวลหรือสั่งให้เฝ้าจับตาพื้นที่ใดเป็นพิเศษ เนื่องจากตำรวจมีชุดเคลื่อนที่เร็วภายใต้การดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. แต่ห่วงในเรื่องการจัดการจราจร ในวันที่24มีนาคมนี้ แต่คาดว่าน่าจะไม่เป็นปัญหาเท่ากับวันที่17มีนาคมที่ผ่านมา เพราะหน่วยเลือกตั้งมีจำนวนมากและกระจายมากกว่าวันเลือกตั้งล่วงหน้า
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวถึงกรณีการควบคุมตัว นายดี สิมตะมะ อายุ 60 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5 ต.หนองหลัก อ.เสิงสาง พร้อมด้วย นายประยุทธ์ บัวประดิษฐ์ อายุ 45 ปี ผู้สนับสนุนผู้สมัคร ส.ส.พรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งพัวพันกับพฤติกรรมซื้อเสียง ว่า มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้นจริง ทั้งตามกฎหมายอาญาปกติ มาตรา149 ในเรื่องการสร้างพยานหลักฐานเท็จ และเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา73(1) ในเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียง เบื้องต้นได้สั่งให้ดำเนินการไปหมดแล้ว ส่วนจะเป็นการใส่ร้ายพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งหรือไม่นั้นยืนยันว่าไม่ใช่การใส่ร้าย เนื่องจากกองกฎหมายของกกต.ก็ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่ ส่วนความผิดที่เกิดขึ้นจะโยงไปถึงพรรคการเมืองหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของกกต.ในการสอบสวนต่อไป