“เรืองไกร” ร้องผู้ตรวจฯ ส่งศาลปค.-ศาลรธน. วินิจฉัยเลือกตั้ง 24 มี.ค. เป็นโมฆะหรือไม่ อ้างเหตุกกต.รายงานผลนับคะแนนไม่ตรงกัน มีปัญหาคลาดเคลื่อนบัตรเขย่ง ไม่นำบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า-นอกราชฯ มานับพร้อมกัน ผิดระเบียบกกต.-ขัดรธน.
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้เสนอความเห็นไปยังศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมาเป็นโมฆะหรือไม่ และการกระทำของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เนื่องจากรายงานตัวเลขนับคะแนนเลือกตั้งจำนวนผู้มาใช้สิทธิยังมีตัวเลขที่ต่างกัน จึงทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าผลการเลือกตั้งจาก 92,230 หน่วย อาจไม่ตรงกัน ซึ่งกรณีดังกล่าวถูกสาธารณชนและพรรคการเมืองเรียกร้องขอให้กกต.เปิดเผยผลคะแนนทุกหน่วยเลือกตั้ง โดยลงประกาศในเว็บไซด์เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบไม่ใช่ให้ผู้สมัครในแต่ละเขตเป็นผู้ไปยื่นคำร้อง และชำระค่าคัดสำเนาเอกสาร เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุค 4.0 ควรจะเลิกการใช้สำเนาได้แล้ว ทั้งนี้แม้ว่ากกต.จะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่จำนวน 6 หน่วยเลือกตั้งใน 5 จังหวัดก็ยังไม่ทำให้สิ้นสงสัยกรณีจำนวนผู้มาใช้สิทธิและจำนวนบัตรแตกต่างกันอยู่ 9 คน
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า กรณีผู้ใช้สิทธิและผลการนับคะแนนที่คลาดเคลื่อนหรือบัตรเขย่งตามที่สำนักงาน กกต. ชี้แจงว่าเกิดจากการยังนับคะแนนไม่แล้วเสร็จ เป็นการนับคะแนนเพียงแค่ 90 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าการนับคะแนนอาจไม่เป็นไปตามระเบียบกกต.และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 117,120,123 เพราะการนับคะแนนจะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดพัก นอกจากนี้กกต.ยังระบุว่าความคลาดเคลื่อนส่วนหนึ่งเกิดจากยังไม่ได้นำคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า รวมถึงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรอีกกว่า 2 ล้านใบมานับรวม รวมถึงการไม่นำบัตรจากประเทศนิวซีแลนด์มานับ จึงมีเหตุสมควรให้ผู้ตรวจส่งเรื่องให้ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเร็ว ก่อนที่กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในวันที่ 9 พ.ค.
นายเรืองไกร กล่าวด้วยว่า. นอกจากนี้ในการคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีข้อมูลแตกต่างกันจากหลายฝ่าย และเมื่อตรวจสอบจากรายงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตั้งแต่รายงานในชั้นคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ไม่พบตัวอย่างการคำนวณส.ส.ตามที่กล่าวอ้างกัน ดังนั้นการคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจึงต้องเป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128,129 เท่านั้น กรณีนำพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเป็นเศษไม่ครบจำนวนเต็ม และไม่ถึงจำนวนส.ส.พึงมีมาปันส่วน เพื่อให้ได้รับส.ส.แบบบัญชีรายชื่อด้วย จึงอาจไม่มีหลักการของกฎหมายใดมารองรับ
“ผมเลือกที่จะมาร้องกับผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะผู้ตรวจมีบทบาทต่อการวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะถึง 2 ครั้ง ในครั้งนี้อยากให้ผู้ตรวจฯแยกส่งให้ศาลปกครองวินิจฉัยกรณีที่กกต.กระทำขัดต่อระเบียบ และส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ” นายเรืองไกร กล่าว
ด้านนายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า หลังรับเรื่องทางสำนักงานจะเร่งตรวจสอบคำร้องทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเพื่อส่งเสนอให้ผู้ตรวจฯพิจารณาโดยเร็ว ว่าคำร้องของนายเรืองไกรอยู่ในอำนาจพิจารณาของผู้ตรวจฯหรือไม่ และหากเข้าข้อกฎหมายจะต้องส่งเรื่องไปที่ศาลใดวินิจฉัย