ธุรกิจท่องเที่ยวปาดเหงื่อ กังวล“ครึ่งปีแรก”โตต่ำ
จากสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา สถิติ 2 เดือนแรก(ม.ค.-ก.พ.) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานพบว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทย 7.29 ล้านคน เพิ่มขึ้นเพียง 2.53% สร้างรายได้ 3.87 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.77%
ทำให้ภาคเอกชนท่องเที่ยวทั้งบริษัทนำเที่ยว โรงแรมกังวลว่า ช่วงครึ่งปีแรกจะเติบโตเพียงเล็กน้อย จึงต้องการให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นตลาด โดยเฉพาะด้านวีซ่า เพื่อรักษาอัตราการเติบโตให้ดีขึ้นต่อเนื่องทั้งปี สู้กับตัวแปรมากมายทั้งปัจจัยสงครามการค้า ปริมาณซัพพลายโรงแรมใหม่ที่เข้ามาในตลาดมากขึ้น และความชัดเจนของไทยในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
วิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ภาพรวมไตรมาส 1 นักท่องเที่ยวต่างชาติทุกตลาดน่าจะดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีนซึ่งถูกจับตามองค่อนข้างมาก ยังมั่นใจว่าตลอดปีนี้จะมีจำนวนชาวจีนมาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 11 ล้านคน และน่าจะฟื้นตัวใกล้เคียงปกติในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา หลังพบว่าตัวเลข 2 เดือนแรกเฉลี่ยตกเดือนละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน แม้จะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีฐานค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเดือน ก.พ. 2561 มีชาวจีนมาเที่ยวไทยมากถึง 1.2 ล้านคน แต่ถือว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนที่ลดลงเหลือ 7-8 แสนคนต่อเดือนหลังเกิดอุบัติเหตุเรือล่มที่ จ.ภูเก็ต เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่ผ่านมา
ด้านสถานการณ์ธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาส 2 ยังต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นละอองต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรุงเทพฯและเชียงใหม่ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนและทั่วโลก นอกเหนือจากการเร่งแก้ไขปัญหาสภาพอากาศให้ดีขึ้น เพราะถือเป็นปัจจัยด้านความปลอดภัยที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญและจับตามองไทยแล้ว ยังต้องรีบทำการตลาดเชิงรุกผ่านมาตรการด้านวีซ่าด้วย เช่น มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival (VoA) ที่อยู่ระหว่างการหารือจัดทำข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่ออายุมาตรการนี้ออกไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค.นี้ จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นมาตรการสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 จะเป็นไปตามเป้าหมาย
รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโรงแรมในเครือเซ็นทารา ยอมรับว่า สถานการณ์ภาพรวมธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 1-2 ของปีนี้ สู้ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาไม่ได้ เนื่องจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังได้รับผลกระทบเล็กน้อยต่อเนื่องจากเหตุเรือล่มที่ จ.ภูเก็ตในช่วงครึ่งหลังปีที่ผ่านมา
ผนวกกับผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้ตลาดจีนเริ่มต่อรองราคาห้องพักมากขึ้น เช่นเดียวกับตลาดรัสเซียที่ยังมีปัญหาเรื่องค่าเงินรูเบิล ขณะที่ปริมาณซัพพลายโรงแรมใหม่ได้เข้ามาในตลาดมากขึ้นทุกเมืองท่องเที่ยว จึงคาดการณ์ว่าช่วงครึ่งปีแรกนี้ธุรกิจโรงแรมไม่น่าจะมีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกปีที่แล้ว
“ธุรกิจโรงแรมไทยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ เรียกได้ว่าแตกต่างจากช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้วซึ่งถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่งมาก ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมามีอัตราเติบโตไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีฐานค่อนข้างสูง จึงหวังว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวดีขึ้น จากการออกมาตรการกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตรการด้านวีซ่าที่รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณาต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม VoA เพื่อช่วยให้สถานการณ์ครึ่งปีหลังนี้ดีขึ้น"
ทั้งนี้ เครือเซ็นทาราได้จัดแคมเปญส่งเสริมการตลาดเพื่อดึงนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ มาช่วยทดแทนตลาดจีน โดยตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างดีคืออินเดีย รวมถึงเกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และเยอรมนี
ส่วนตัวแปรอื่นๆ ของธุรกิจโรงแรม มองว่าปัจจัยทางการเมืองมีผลต่อการจัดประชุมสัมมนา (ไมซ์) ของตลาดต่างชาติ โดยในช่วงไตรมาส 1 ก่อนวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ตลาดไมซ์ต่างชาติมีการชะลอตัวเล็กน้อย เพื่อรอดูความชัดเจนของสถานการณ์การเมือง เครือเซ็นทาราจึงต้องปรับแผนด้วยการหาลูกค้าตลาดไมซ์ในประเทศมาชดเชยในไตรมาส 2 นี้ และหลังจากวันเลือกตั้ง พบว่าลูกค้าไมซ์ต่างชาติโดยเฉพาะกรุ๊ปใหญ่กังวลน้อยลง คาดว่าเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย จะทำให้ตลาดไมซ์ต่างชาติกลับมามั่นใจจัดงานในไทยเช่นเดิม