'ชาญวิทย์' ยันไม่ได้ทำสื่อ มีรายได้ทางเดียวจากอสังหาฯ
ว่าที่ส.ส.กทม. "ชาญวิทย์ วิภูศิริ" ยันบริษัทตัวเองไม่ได้ทำสื่อ มีรายได้ทางเดียวจากการทำอสังหาริมทรัพย์ ขายบ้านจัดสรร ชื่อบริษัทยังลงท้ายด้วยคำว่าพร็อพเพอร์ตี้ มีหลักฐานจากผลประกอบการ รายงานการประชุมบริษัท และการเสียภาษีประจำปี
นายชาญวิทย์ วิภูศิริ ว่าที่ ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 15 กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ถูกร้องว่าถือหุ้นสื่อ ว่า ในความเป็นจริงเราไม่เคยทำธุรกิจสื่อเลย เพียงแต่ในหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ระบุว่าประกอบกิจการสื่อเท่านั้น เนื่องจากหนังสือบริคณห์สนธิระบุแบบครอบจักรวาลมีถึง 61 ข้อ ค้าช้างม้าวัวควาย ทำโรงเรียน โรงแรม ทำลานสเก็ต มีเยอะแยะไปหมด แต่เราไม่เคยมีรายได้และไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ ซึ่งกิจการสื่อเป็นกิจการควบคุมต้องขออนุญาต ซึ่งเราไม่เคยขออนุญาต ไม่มีใบอนุญาต แล้วจะประกอบกิจการสื่อได้อย่างไร ไม่เคยเข้าประมูลวิทยุหรือทีวี สรุปว่าบริษัทตนไม่เคยทำกิจการสื่อ เพียงแต่ว่ามีอยู่ในหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท
“หนังสือบริคณห์สนธิเป็นฟอร์มสำเร็จรูปของทางราชการ เวลาเราให้คนไปจดทะเบียนบริษัท จะมีช่องให้ติ๊กๆ คนส่วนมากก็จะติ๊กทุกช่อง เผื่อว่าวันข้างหน้าจะไม่ต้องมาจดทะเบียนเพิ่มเติม เพราะว่าความเสียหายไม่มีในการติ๊กเผื่อไป ก็ติ๊กกันหมด ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงทางพรรค ทางเฟซบุ๊ก ไปในลักษณะนี้ว่า ในความเป็นจริง เราไม่ได้ทำกิจการสื่อ เพียงแต่มีในหนังสือบริคณห์สนธิเท่านั้น ซึ่งจากการที่ผมคุยกับผู้ที่รู้กฎหมาย เขาบอกว่า กรณีของผม จะถือว่าทำกิจการสื่อไม่ได้ เพราะว่าการทำสื่อต้องมีใบอนุญาต เป็นเจ้าของสื่อ ต้องมีกฎหมายควบคุมอยู่ ดังนั้นเพียงแค่เขียนวัตถุประสงค์ในหนังสือบริคณฑ์สนธิ แล้วจะมาบอกว่า เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้าของสื่อ ก็ไม่ได้ ถ้าเอาตามหลักกฎหมายหรือ พรป.เลือกตั้ง ส.ส. ที่เขียนเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.ต้องเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการสื่อ ซึ่งผมมั่นใจว่ากิจการที่เราทำอยู่ไม่ใช่กิจการสื่อแน่นอน เพราะว่าเราไม่เคยมีใบอนุญาต ไม่เคยมีรายได้ บริษัทเราทำมา 20 กว่าปีมีรายได้ทางเดียวคือทำอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวเลย เสียภาษีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทุกปี ชื่อบริษัทของเรายังลงท้ายด้วยคำว่า “พร็อพเพอร์ตี้ ” เลย มีรายได้ทางเดียวจากการขายบ้านจัดสรร พนักงานบริษัทเราจบวิศวะ จบก่อสร้าง จบบัญชี ไม่มีจบนิเทศศาสตร์ จบสื่อ โฆษณายังต้องจ้างเขา บริษัทเราจึงชัดเจนว่าไม่ใช่บริษัทสื่อแน่นอน”
นายชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า บริษัทเราตรวจบัญชีถูกต้องทุกอย่าง เพียงแต่ว่าเรื่องหนังสือบริคณห์สนธิไม่มีใครไปสนใจ หนังสือบริคณห์สนธิ ทางราชการให้มีไว้เท่านั้นเอง แต่ในความจริงไม่มีใครไปให้ความสนใจกับหนังสือคณห์สนธิก็เหมือนเวลาเราไปติดต่อราชการ ต้องมีการถ่ายบัตรประชาชน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าต้องถ่ายทำไม ตอนนี้ยกเลิกไปแล้วการถ่ายบัตรประชาชน เพียงแต่ว่าหนังสือบริคณห์สนธิ ยังไม่ได้ยกเลิก
“ ยกตัวอย่างสมมุติหนังสือบริคณห์สนธิบริษัทผมจดไว้ทำโรงเรียน โรงแรม แล้วผมจะมาบอกกับคนทั่วไปว่า ทำโรงเรียน โรงแรม ก็ไม่ได้ เพราะในความจริงไม่ได้ทำ เพราะต้องดูว่ารายได้ การทำธุรกิจของบริษัทนั้นคืออะไร บริษัททั่วไปก็จดหนังสือหนังสือบริคณห์กว้างๆ เหมือนกันหมด 20-30 ข้อ ต้องมีทุกบริษัทเหมือนกันหมด ไม่มีใครที่ทำโรงเรียน และแจ้งในหนังสือบริคณห์สนธิว่าทำโรงเรียนอย่างเดียว และตอนที่สมัคร ส.ส. กกต. ก็ไม่ได้บอกว่า ต้องดูหนังสือบริคณห์สนธิด้วยในเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร กกต. ตรวจสอบคุณสมบัติิแล้วก็ให้ผ่าน แล้วมีชื่อผมเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส่วนเมื่อวานซึ่งประชุมกันที่พรรค ก็มีการหารือกันว่ากรณีผมจะสู้อย่างไร แต่ถ้าเอาข้อเท็จจริง ดูจากผลประกอบการ งบประจำปี รายงานการประชุม และการเสียภาษีรายได้ของบริษัท และเอาวิจารณญาณ คอมมอนเซ้นต์ ทุกคนจะบอกว่า ผมไม่ได้ทำสื่อแน่นอน ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์”