คุก! 2 เดือน '2 ป้าทุบรถ' ปรับ 1.2 หมื่น
ศาลพิพากษา 2 ป้าพี่น้อง ใช้ขวาน-เสียมทุบรถกระบะ จอดขวางหน้าบ้าน ผิดทำให้เสียทรัพย์ แต่เพราะความเครียดสะสม ไม่เคยทำผิด-วางเงินชดใช้แล้ว ให้รอลงอาญา 2 ปี ทนาย รอปรึกษาติดใจอุทธรณ์หรือไม่
ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ศาลอ่านฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3917/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ (พระโขนง) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.มณีรัตน์ แสงภัทรโชติ อายุ 62 ปี และ น.ส.รัตนฉัตร แสงหยกตระการ หรือป้าเก่ง อายุ 58 ปี สองพี่น้อง อาศัยในหมู่บ้านเสรีวิลล่า ซึ่งเคยปรากฏเป็นข่าวป้าทุบรถจากเหตุพิพาทตลาดนัดรอบหมู่บ้าน เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
โดยพฤติการณ์ตามฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 18 ก.พ.61 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสอง ร่วมกันทำให้ รถกระบะนิสสัน รุ่นนาวาร่า สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎค-9297กรุงเทพมหานคร ของ น.ส.จิรพรรณ เลิศวาสนา (เป็นพี่สาวของ น.ส.รัชนิกร เลิศวาสนา อายุ 38 ปี ที่จอดขวางประตูหน้าบ้านจำเลยทั้งสอง) เสียหาย โดยร่วมกันใช้ขวานเหล็กสีดำ และเสียมเหล็ก ฟัน ทุบ ตี ถูกส่วนต่างๆ ของรถกระบะที่จอดไว้หน้าบ้านเลขที่ 37/208 หมู่บ้านเสรีวิลล่า ซ.ศรีนครินทร์ 55 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ ของจำเลย นั้นเสียหาย คิดเป็นเงิน 50,000 บาท
ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธต่อสู้คดีว่าเป็นการบันดาลโทสะ ระหว่างพิจารณาคดีจำเลยทั้งสอง ได้ประกันตัวไปคนละ 50,000 บาท โดยวันนี้จำเลยทั้งสอง เดินทางมาศาลพร้อม นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นว่า บริเวณรอบบ้านของจำเลยทั้งสองเป็นตลาด ก่อนเกิดเหตุมีประชาชนซื้อของที่ตลาดแล้วจอดรถบนทางเท้ารอบๆ บ้านของจำเลยทั้งสอง และมีประชาชนบางคนจอดรถขวงางประตูเข้า-ออกบ้านของจำเลย กระทั่งวันที่ 18 ก.พ.61 เวลาประมาณ 11.00 น. น.ส.รัชนิกร เลิศวาสนา ได้ขับรถกระบะของน.ส.จิรพรรณ พี่สาว มาจอดขวางทางเข้า-ออกหน้าบ้าน จากนั้น น.ส.รัชนิกร ลงไปซื้อของที่ตลาดซึ่งอยู่ใกล้เคียง ทำให้ขณะนั้นจำเลยทั้งสองนำรถออกจากบ้านไม่ได้ ก็บีบแตรรถเพื่อให้นำรถที่จอดอยู่หน้าบ้านถอยออกไป แต่ น.ส.รัชนิกร ไม่มาเลื่อนรถ ขณะที่มีประชาชนรอบๆ มาช่วยกันเข็นรถแต่ก็ไม่สามารถเลื่อนรถได้ จำเลยทั้งสองก็ได้ใช้ขวานและเสียม ฟันทุบ รถนั้นจนชำรุดเสียหาย ซึ่งบริษัทประกันภัยตรวจสอบความเสียหายแล้วประเมินราคาค่าซ่อม 37,743 บาท
ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสอง เป็นการบันดาลโทสะหรือไม่ ศาล เห็นว่า จำเลยทั้งสองเบิกความทำนองเดียวกันว่า บ้านของจำเลยทั้งสองอยู่ในเขตที่ดินจัดสรรหมู่บ้านเสรีวิลล่า เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย การจัดตลาดบริเวณโดยรอบบ้านของจำเลยทั้งสองกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายเป็นการรบกวนและสร้างความเดือดร้อนรำคาญทางเสียง กลิ่นเหม็นขยะ ไอเสียรถยนต์ การจราจรติดขัดและมีบุคคลจอดรถกีดขวางทางเข้า-ออกบ้านมาเป็นเวลานานประมาณ 10 ปี จำเลยทั้งสองเคยแจ้งพนักงานให้แก้ไขและดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เจ้าพนักงานแก้ไขปัญหาไม่ได้โดยจำเลยทั้งสองกลับเป็นฝ่ายถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายว่าบ้านของจำเลยทั้งสองค้าประเวณีและค้ายาเสพติด ทำให้จำเลยทั้งสองเกิดความเครียด สะสมความโกรธมาเป็นเวลานาน ซึ่งวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองจำเป็นต้องใช้รถออกจากบ้าน โดยกดสัญญาณแตรนาน 30 นาทีแต่ น.ส.รัชนิกร ไม่มาเลื่อนรถ จึงทำให้เกิดบันดาลโทสะ ทั้งนี้ศาลเห็นว่า ความเครียดและความโกรธที่สะสมเป็นเวลานานตามที่จำเลยทั้งสองอ้างนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนและจำเลยทั้งสองได้ใช้สิทธิโดยชอบแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบเข้ามาดำเนินการแก้ไข ปรับปรุงและใช้สิทธิยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองก็เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องแล้ว
โดยวันเกิดเหตุ น.ส.รัชนิกร ขับรถมาจอดขวางประตูเข้า-ออกบ้านของจำเลยทั้งสอง การจัดการแก้ปัญหาของจำเลยทั้งสอง ก็ควรที่จะดำเนินการแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ หรือบุคคลอื่นที่รับผิดชอบ ให้มาจัดการปัญหาเลื่อนรถออกพ้นทางซึ่งเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายเหมือนที่จำเลยทั้งสองทำมาก่อนหน้านี้ โดยจำเลยทั้งสองไม่อาจเข้าไปทุบทำลายรถที่จอดขวางอยู่ได้ แม้จะถือว่าการจอดรถดังกล่าวของ น.ส.รัชนิกร เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่การกระทำยังไม่ถึงขนาดเป็นการข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 จำเลยทั้งสองจะอ้างเหตุบันดาลโทสะมาเป็นเหตุลดโทษไม่ได้ ดังนั้น น.ส.จิรพรรณ พี่สาวของน.ส.รัชนิกร เจ้าของรถจึงเป็นผู้เสียหายโดยตรงจากที่จำเลยทั้งสองร่วมทุบ ทำลายรถนั้นซึ่งเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่ง น.ส.จิรพรรณ เจ้าของรถ ไม่ได้มีส่วนร่วมก่อให้เกิดการกระทำความผิดนั้น ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสอง กระทำความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ตามฟ้อง
จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 3 เดือน และปรับคนละ 18,000 บาท ซึ่งทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 2 เดือนและปรับคนละ 12,000 บาท
เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดเพราะความเครียดและความโกรธที่สะสมมาเป็นเวลานาน ประกอบกับความผิดที่กระทำไม่ร้ายแรงนัก และจำเลยทั้งสองได้บรรเทาผลร้ายจากการกระทำผิดด้วยการนำเงิน 50,000 บาท มาวางต่อศาลเพื่อชำระให้ผู้เสียหายในการบรรเทาผลร้าย และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายอนันต์ชัย ทนายความ กล่าวว่า คดีนี้ศาลเห็นว่าจำเลยทั้ง 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 โดยศาลลงโทษสถานเบารอลงอาญา 2 ปี เนื่องจากเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดเพราะความเครียดและความโกรธสะสมมาเป็นเวลานาน ความผิดที่กระทำไม่ร้ายแรงนัก จำเลยทั้งนำเงินมาวางศาล 50,000 บาท เพื่อชำระแก่ผู้เสียหายแล้ว อย่างไรก็ดีชั้นพิจารณา ศาลมีคำสั่งห้ามให้ข้อมูลการพิจารณาจนกว่าจะมีคำพิพากษา แต่ตอนนี้เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาแล้วก็สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ตนก็ขอขอบคุณประชาชนทั้งประเทศที่เอาใจช่วยคุณป้าทั้งสอง พร้อมขอขอบคุณผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระโขนง ที่ให้ความเป็นธรรมเมตตาคุณป้าทั้งสอง ส่วนคดีนี้จะอุทธรณ์ขึ้นศาลสูงอีกหรือไม่ขอปรึกษาลูกความก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้วันที่ 26 พ.ย.61 ศาลจังหวัดพระโขนง ก็ได้ตัดสินคดีที่ น.ส.รัชนิกร เลิศวาสนา ที่ขับรถกระบะมาจอดขวางประตูหน้าบ้านของป้าทั้งสอง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคสอง ให้จำคุก 15 วัน และปรับ 5,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี