สอนมวยรบ.แก้เศรษฐกิจจ่อหายนะ แนะใช้ยาแรงพอ-ใช้วิธีไม่สะเปะสะปะ
"เจ๊หน่อย" ออกโรง! สอนมวยรัฐบาลแก้เศรษฐกิจกำลังหายนะ แนะใช้ยาแรงพอ-ใช้วิธีการไม่สะเปะสะปะ ย้ำรอช้าไม่ได้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะตายกันหมดแล้ว
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุว่า กระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังหายนะ ต้องใช้ยาแรงพอ-ใช้วิธีการไม่สะเปะสะปะ
ครม.เศรษฐกิจ ที่มีนายกฯ ประยุทธ์เป็นหัวหน้าทีม. ได้เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้เม็ดเงินกว่า 316,000 ล้านบาท
ดิฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนัก ด้วยการหามาตรการเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่มาตรการที่ออกมายังไม่แรงพอ ที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นได้ และและเป็นแนวทางที่สะเปะสะปะมาก
1) เม็ดเงินไม่มากพอ
มาตราการประกอบด้วยหลายมาตรการ ทั้งการพักหนี้ และการให้สินเชื่อของธนาคาร ซึ่งเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่ลงจริงเพียงไม่กี่หมื่นล้าน จึงไม่เพียงพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้เดินเครื่องได้
2) มาตรการสะเปะสะปะ
สถานการณ์ขณะนี้ เปรียบเสมือนหน้าแล้ง คือมีน้ำหรือเม็ดเงินจำกัด ทางรัฐบาลต้องเลือกใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และแรงพอ
คำถามก็คือ เมื่อน้ำมีจำกัด จะเลือกหยดที่โคนต้น หรือจะสเปรย์ทิ้งแบบสะเปะสะปะ ?
มาตรการของรัฐบาลที่ออกมาถือว่าเป็นการใช้แบบเบี้ยหัวแตก สะเปะสะปะ ไม่ได้อัดลงไปให้ตรงจุด อย่างเรื่องการแจกเงินเที่ยวคนละ1,000บาท มันเป็นมาตรการทางอ้อมที่ยากจะหวังผล เพราะการท่องเที่ยวไม่ใช่ปัจจัย 4 ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ คนจะท่องเที่ยวก็ต่อเมื่อมีเงินเหลือกินเหลือใช้ ในสภาพที่ทุกคนหมดหวังกับอนาคตใครจะมีกะจิตกะใจไปเที่ยว ดังนั้น เงินที่ใช้ไปเพื่อการนี้จะสูญเปล่า
ถ้าเทียบกับอัดฉีดเงินลงไปที่เกษตรกรฐานราก ให้เขามีเงินเพียงพอทำทุนอันเป็นการลงทุนที่ทำให้คนเห็นอนาคต จะเกิดการผลิตและเกิดการจับจ่ายใช้สอยที่ได้มาจากการผลิตที่ยั่งยืน กำลังซื้อก็จะกลับคืนมา ทำให้พ่อค้าแม่ขาย ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางอยู่ได้ ไม่เจ๊งโรงงานต่างๆก็จะอยู่ได้ ไม่เจ๊งอย่างทุกวันนี้ เช่นกัน
3) ใช้วิธีเก่า ที่ล้มเหลวมาตลอดระยะเวลา 5 ปี คือการแจกเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ของนายกฯคนหน้าเดิม ที่วันนี้มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอีกตำแหน่ง
การแจกเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพที่เคยทำมาตลอด ได้พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ที่ใช้งบประมาณไปมากมายมหาศาล แต่กลับไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้
จนทำให้เป็นภาระทางการคลัง เพราะการแจกเงินไม่ใช่การลงทุนที่ทำให้คนเห็นอนาคต ไม่ทำให้เกิดการผลิต ไม่เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพหรือพูดแบบง่ายๆ คือใช้ครั้งเดียวหมด เมื่อคนมองไม่เห็นอนาคตแถมหนี้สินพะรุงพะลัง คนยิ่งไม่กล้าใช้เงิน หลักฐานคือนับแต่มีการยึดอำนาจการจัดเก็บภาษีที่ต่ำกว่าประมาณการมาตลอดจนบัดนี้ ล้มเหลวมา 5 ปีแล้วยังทำแบบเดิมอีกปีที่ 6 แบบนี้ไม่บ้าก็เมาค่ะ
นอกจากจะทำให้เสียวินัยการเงินแล้ว คนไทยยังต้องแบกหนี้เพิ่มขึ้น จากคนละสองแสนกว่าบาท เป็นคนละห้าแสนกว่าบาท
4) กลไกทางเศรษฐกิจไม่ถูกปรับเปลี่ยน ยังคงกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่เพียงไม่กี่รายที่การทำมาหากินเกี่ยวข้องกับรัฐบาล ที่มีรายได้และทรัพย์สินเพิ่มขึ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสวนทางกับคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นคนตัวเล็กตัวน้อยกลับต้องประสบกับปัญหาปากท้องมากขึ้น เศรษฐกิจของคนตัวเล็กย่ำแย่มากขึ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สถิติการจดทะเบียนคนจนที่เพิ่มมากขึ้น หนี้ครัวเรือนที่สูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ สถิติความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนที่สูงเป็นอันดับ 1 ของโลก คือผลงานอัปยศที่ประจานการไร้ความสามารถในการบริหารของรัฐบาล
ดิฉันขอย้ำว่า สถานการณ์ของเศรษฐกิจในวันนี้ไม่ใช่วิกฤติ แต่เป็นหายนะ ไม่ว่า #ทีมเพื่อไทย ไปเยี่ยมเยียนประชาชนในที่ใด ปัญหาที่พี่น้องสะท้อนให้ฟังตลอดมาคือ ปากท้อง และภัยแล้ง
วันนี้การ #แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจรอช้าไม่ได้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะตายกันหมดแล้ว จึงต้องแก้โดยมาตรการที่มีประสิทธิภาพ เงินทุกเม็ดที่รัฐลงทุนต้องทำให้ประชาชนเห็นอนาคต ก่อให้เกิดการผลิตที่ยั่งยืน สร้างรายได้หรือสร้างทรัพย์สินใหม่ให้กับประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้อย่างแท้จริง