ไต่สวนคดีฟอกเงินกู้กรุงไทย 'พานทองแท้' ยื่นคำให้การใหม่-ปัดทุกข้อหา
ลูกอดีตนายกฯทักษิณ ยื่นคำให้การใหม่เพิ่ม ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา หลังขึ้นศาลอาญาฯ ไต่สวนคดีฟอกเงินกู้กรุงไทย
เช้าวันนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ได้นัดไต่สวนพยานโจทก์นัดแรก คดีฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโตของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91
โดยอัยการยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 10 ต.ค.61 จากกรณี “นายพานทองแท้” รับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาทเข้าบัญชี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเงินนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทยฯ กับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร ที่มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 80 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นบุตรชายของนายวิชัย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตกเป็นจำเลยในคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้จำคุกนายวิชัยและนายรัชฎา บุตรชายคนละ 12 ปีร่วมกับพวก โดยในส่วนของนายวิชัย , นายรัชฎา บุตรชาย และกลุ่มอดีตกรรมการบริษัทเอกชนในเครือกฤษดา รวม 6 คนนั้น ก็ถูกอัยการ ยื่นฟ้องความผิดฟอกเงินการทุจริตปล่อยกู้ดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเช่นกันด้วย
โดยชั้นศาล นายพานทองแท้ จำเลย ก็ให้การปฏิเสธสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นที่ได้ร่วมลงทุนกับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร
สำหรับครึ่งวันเช้า ศาลได้ไต่สวนพยานอัยการโจทก์ 1 ปากเสร็จสิ้นคือ นายสุนทรา พลไตร ผู้อำนวยการส่วนบริหารทรัพย์สิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ในฐานะผู้กล่าวหาคดีนี้ ได้เบิกความตอบคำถามศาลสรุปว่าในการตรวจสอบคดีนี้ช่วงปี 2559-2560 พยานเป็นผู้อำนวยการส่วนข้อมูลคดีและมาตรการพิเศษทางกฎหมาย ป.ป.ง. โดยได้ตรวจสอบเอกสารจากการประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินและที่พยานเห็นว่ามีการร่วมกันฟอกเงินเลยระหว่างจำเลยกับ นายวิชัย เนื่องจากมีการรับโอนและโยกย้ายเงินในหลายบัญชี ซึ่งในส่วนของจำเลยมีการนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพต่างสาขาระหว่างบางพลัดและซอยอารีย์ ขณะที่ทั้งสองก็ไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ใดๆกันทางธุรกิจ
นอกจากนี้ยังพบว่า จำเลยได้โอนเงิน 10 ล้านบาทคืน นายวิชัย เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และนายวิชัย เมื่อปี 2548
ส่วนที่มีการระบุว่าจำเลยทำธุรกิจรถยนต์กับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัยนั้น ก็ไม่น่าเชื่อถือ โดยการตรวจสอบเชื่อว่าการรับโอนเงินระหว่างจำเลยและนายวิชัย เป็นการให้ค่าตอบแทนบางประการ หลังจากที่นายวิชัย ได้รับเงินปล่อยกู้จากธนาคารกรุงไทย ซึ่งบิดาของจำเลย คือ นายทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการตรวจสอบเส้นทางการเงินก็ดูจากต้นเงิน ที่เมื่อธนาคารกรุงไทย ได้ปล่อยกู้ ให้กับ บริษัทโกลเด้น อินดัสเตรียล พาร์ค แล้ว จนผ่านไปถึงนายวิชัย จากนั้นจำเลยก็ได้รับเช็คโอนเงินเข้าบัญชี 10 ล้านบาท จากนายวิชัย
ส่วนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้อง นายทักษิณ จากคดีอนุมัติให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้นั้น จะด้วยเหตุผลใด อย่างไร พยานไม่ทราบ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องในคดี
ทั้งนี้ เมื่อพยานโจก์ปากแรก เบิกความเสร็จช่วงเที่ยงเศษ ศาลได้นัด ไต่สวนพยานโจทก์ปากที่ 2 ในเวลา 13:30 น. / อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ นายพานทองแท้ ในฐานะจำเลย ได้ยื่นคำให้การใหม่เพิ่มเติม
นายพานทองแท้ เปิดเผยว่า ได้ยื่นคำให้การใหม่แต่ยังคงมห้การปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่มีแนวทางเพิ่มเติม จึงเลือกให้การใหม่ทั้งหมด โดยในวันพฤหัสที่ 26 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นนัดไต่สวนพยานจำเลย ตนจะขึ้นเบิกพยานเบิกความเพียงปากเดียว ในประเด็นเรื่องการลงทุนและเงินจำนวน 10 ล้านบาท ว่านำไปใช้จ่ายอะไร เพื่อให้ศาลเข้าใจว่าจริงๆแล้วไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ และที่ผ่านมาตนยังไม่เคยขึ้นเบิกความ จึงยังไม่ได้ให้ข้อมูลกับศาล พร้อมยืนยันเจตนาไม่เคยฟอกเงินตามข้อกล่าวหาตั้งแต่ที่มีการฟ้องร้องดำเนินคดี และหากศาลกรุณาอ่านก็จะเข้าใจ