ยอดค้าปลีกสหรัฐหดตัวฉุดดาวโจนส์ปิดแดนลบ
ยอดค้าปลีกสหรัฐหดตัวครั้งแรกในรอบ 7เดือน ฉุดดาวโจนส์ปิดแดนลบ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดตลาดวันพุธ (16ต.ค.)ปรับตัวลง หลังสหรัฐเผยยอดค้าปลีกเดือนก.ย.ลดลงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน สวนทางตลาดคาดปรับตัวขึ้น ประกอบกับนักลงทุนกังวลว่า ความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนในประเด็นฮ่องกงนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างสองฝ่าย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 22.82 จุดหรือ 0.08% ปิดที่ 27,001.98 ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วง 5.99 จุดหรือ 0.20% ปิดที่ 2,989.69 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลบ 24.52 จุดหรือ 0.3% ปิดที่ 8,124.18 จุด
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยก่อนตลาดหุ้นเปิดทำการในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกลดลง 0.3% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ส่งสัญญาณว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เคยเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้น กำลังชะลอตัวลง
กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ภาคครัวเรือนลดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งรวมถึงการซื้อรถยนต์ วัสดุก่อสร้าง งานอดิเรก รวมไปถึงการซื้อสินค้าออนไลน์
ทั้งนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคถือเป็นเสาหลักของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ขณะที่สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้กดดันบรรยากาศการซื้อขายในตลาดวอลล์สตรีทเช่นกัน หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ด้วยการผ่านร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยของฮ่องกง โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนต้องรับผิดชอบในการทำลายเสรีภาพขั้นพื้นฐานและการปกครองตนเองในฮ่องกง นอกจากนี้ ร่างกฎหมายจะกำหนดให้มีการทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางการค้ากับฮ่องกง ภายใต้กฎหมายของสหรัฐ โดยการทบทวนดังกล่าวจะพิจารณาถึงประเด็นที่ว่า ฮ่องกงได้รับอำนาจในการปกครองตนเองอย่างเพียงพอจากจีนหรือไม่
นักลงทุนวิตกกังวลว่า ความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนในประเด็นฮ่องกงนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งมีความเปราะบางอยู่แล้วในขณะนี้ หลังมีรายงานว่า จีนต้องการเจรจาเพิ่มเติมกับสหรัฐอีกอย่างเร็วที่สุดในช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ เพื่อสรุปรายละเอียดของข้อตกลงการค้าขั้นแรกก่อนที่ผู้นำทั้งสองจะลงนามร่วมกัน