สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับ "ดาบตำรวจ" ที่ได้ลักลอบนำปืนหลวงจำนวน 50 กระบอก ออกไปจำนำกับคนในพื้นที่จังหวัดลพบุรี
กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจยศดาบตำรวจประจำการที่สถานีตำรวจภูธรท่าหิน จังหวัดลพบุรี ได้นำปืนหลวงซึ่งเป็นปืนที่อยู่ในคลังของสถานีตำรวจภูธรท่าหิน ไปจำนำมห้กับบุคคลภายนอกใน
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ สำนักงานตรำวจแห่งชาติ พันตำรวจเอก กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยเปิดเผยความคืบหน้าว่า ขณะนี้ทราบแล้วว่าผู้กระทำความผิด คือ ดาบตำรวจชรินทร์ บุตรดี ทำหน้าที่ดูแลพัสดุและสิ่งของหลวง ได้ก่อเหตุดังกล่าวจริง โดยนำปืนหลวงออกไปจำนำทั้งหมด 50 กระบอก ถือว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งทางพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรท่าหิน ได้สอบสวนดำเนินคดีทางอาญาแล้ว และได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พร้อมมีคำสั่งให้ออกจากราชไว้ก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส กับทุกฝ่าย จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนแและตั้งชุดสืบสวนติดตามอาวุธปืนดังกล่าวกลับคืนมา
ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม เจ้าหน้าตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้อีก 1 ราย คือ นายประทีป โตพูล พร้อมอาวุธปืนที่หายไปรวม 19 กระบอก ตามหมายจับของศาลจังหวัดลพบุรี “ในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดซื้อ ทำ ดูแล รักษาทรัพย์ใดๆเบียดบังทรัพย์นั้นป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต หรือรับของโจร “ และได้นำตัวฝากขังที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤตมิชอบภาค 1 จ.สระบุรี ทั้งนี้ยังเหลืออาวุธปืนที่ต้องติดตามอีก จำนวน 31 กระบอก
รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวอีกว่า คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ทำการขยายผลว่ามีผู้ใดมีส่วนร่วมในการกระทำผิดอีกหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างขออนุมัติศาลจังหวัดลพบุรี ออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก จำนวน 5 ราย โดยยืนว่าจะดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระความผิดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยไม่มีการละเว้นและไม่มีผู้ใดสามารถให้ความช่วยเหลือได้
ทั้งนี้ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ดำเนินการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานด้วยความรอบคอบ โปร่งใส รวดเร็ว เป็นธรรม ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งหากทำผิดจริง ต้องเอาโทษให้ถึงที่สุด ทั้งทางวินัยและทางอาญา อย่างเด็ดขาด โดยจะต้องรับโทษหนักกว่าบุคคลธรรมดา เพราะว่าเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายแต่กลับทำผิดเสียเอง โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เคารพต่อเกียรติของตำรวจ พร้อมทั้งกำชับให้ผู้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้น เพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย สอดส่อง ตรวจตรา ความสงบเรียบร้อย รวมไปถึง มาตรการในการป้องกันเหตุ สำรวจสิ่งของหลวงตามกำหนด โดยเน้นย้ำ อย่าให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ขึ้นอีก และได้กำชับกองบัญชาการทุกภาคส่วน ให้กำกับ ดูแล ผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัด อย่างใกล้ชิด คอยสอดส่อง ดูแล ให้ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย ตามคำสั่ง ตร.ที่ 1212/2537 โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้กระทำความผิดเสียเองหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น