ไบโอไทยเชื่อสหรัฐตัดจีเอสพีไม่น่าเกี่ยวแบนสารเคมี

ไบโอไทยเชื่อสหรัฐตัดจีเอสพีไม่น่าเกี่ยวแบนสารเคมี

ไบโอไทยเชื่อสหรัฐตัดจีเอสพีไม่น่าเกี่ยวแบนสารเคมี เตรียมแจ้งตำรวจลงบันทึกประจำวัน 28 ต.ค.62 เพื่อความปลอดภัย หลังโดนข่มขู่ผ่านเฟซบุ๊คเพจ

       นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) กล่าว จากการที่เราขับเคลื่อนเรื่องการแบนสารเคมีอันตราย 3 ชนิด และเปิดเผยข้อมูลเรื่องอันตรายจากสารเคมีมาอย่างต่อเนื่องนั้น น่าจะไปกระทบกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา เพจไบโอไทยมีการถูกคุกคาม ในกรณีที่เรามีการเปิดเผยเรื่องความเชื่อมโยงการทำงานมาเป็นเวลา 15 ปี ของผู้บริหารบริษัทสารเคมี ส่งผลให้หน้าเพจของไบโอไทย ถูกโพสต์คล้ายข่มขูหรือเป็นการเตือน ใจความว่า “ลามปามเล่นไม่เลือกจะตายสักวัน” โดยผู้ที่ข่มขู่เพจไบโอไทยนั้น จากการที่เราสืบค้นพบว่าเป็นผู้บริหารของสมาคมที่จัดตั้งขึ้นโดยบริษัทสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งจากการที่ได้ปรึกษากับทนายความก็ได้รับคำแนะนำว่าให้เราไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นในวันที่ 28 ต.ค.นี้ เราจะรวบรวมข้อมูลส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

      "ส่วนการที่สหรัฐตักสิทธิจีเอสพี ไม่น่าเกี่ยวกับหนังสือการแบนสารเคมี เพราะคำประกาศตัดสิทธิจีเอสพี คนละส่วนกับเรื่องการแบนสารเคมีภาคการเกษตร ซึ่งกรณีนี้ก็ขอย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องทบทวน หรือชี้แจงใดๆ เพราะการแบนสารเคมีไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกีดกันทางการค้า แต่เพราะมีข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ และข้อมูลสุขภาพ ที่ระบุว่าส่งผลต่อสุขภาพประชาชน แต่หากจะทำการชี้แจงก็ทำได้ตามขั้นตอนปกติ อาจเป็นอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผู้ชี้แจงทางสหรัฐก็ได้"นายวิฑูรย์กล่าว
    ส่วนกรณีทางสหรัฐอเมริกาให้ไทยระงับการแบนสารเคมีอันตราย นายวิฑูรย์ กล่าวว่า  เบื้องต้นเราก็ต้องทำการชี้แจงตามขั้นตอนว่าการแบนดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้กฏหมายของไทย ซึ่งมีการดำเนินการถูกต้อง โดยทางเครือข่ายได้ทำการเสนอรัฐบาลไทยไปแล้วว่า เราไม่จำเป็นต้องให้ระดับนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีทำเรื่องชี้แจง เนื่องจากตามวิธีการฑูตแล้วสามารถแจ้งให้ระดับเจ้าหน้าที่ เช่น อธิบดีกรมแรงงานที่เป็นเลขาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายเป็นผู้ชี้แจงต่อทางฝ่ายสหรัฐได้เลย โดยการชี้แจ้งเบื้องต้นประกอบด้วย 1.เราดำเนินการภายใต้กฎหมายไทย และ2.ดำเนินการตามหลักพื้นฐานข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่อิงตามพื้นฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ เป็นต้น