‘บล.ภัทร’ปั๊มพอร์ตเวลธ์ ดันเอยูเอแตะ‘1ล้านล้าน’
"บล.ภัทร" รุกธุรกิจเวลธ์แมเนจเมนท์ ตั้งเป้าภายใน 3 ปี สินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำแตะ 1 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 5.6 แสนล้านบาท เดินหน้าเจาะกลุ่มทายาทเจ้าของกิจการ และฐานลูกค้าเงินฝากแบงก์ ชูจุดแข็ง ประสบการณ์ยาวนาน มีสินค้าหลากหลาย สร้างผลตอบแทนดี
นายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะรุกธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management ) โดยตั้งเป้าอีก 3 ปี ข้างหน้า หรือภายในปี2565 จะมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ ( AUA) อยู่ที่ 1ล้านล้านบาท จากปัจจุบันที่มีจำนวน 5.6 แสนล้านบาท เนื่องจาก Wealth Management เติบโตดีต่อเนื่อง
จากทิศทางดอกเบี้ยที่จะอยู่ในระดับต่ำอีกนาน ทำให้ลูกค้าเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ หันนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยปัจจุบันเงินฝากในระบบของธนาคารพาณิชย์ มีอยู่4 ล้านล้านบาท เป็นกลุ่มที่มีเงินฝากมากกว่า 10 ล้านบาท ถึง 7.5 ล้านล้านบาท ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของบริษัทที่จะเข้าไปนำเสนอบริการ
อีกกลุ่มเป้าหมาย คือกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่ทำธุรกิจมานาน อัตราการเติบโตเริ่มจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจ ธุรกิจยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มาก แต่ไม่มีแผนนำไปขยายการลงทุนต่อ รวมถึงบริษัทจะให้คำแนะนำปรับโครงสร้างภายใน และวางแผนทางการเงินเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งให้กับให้ทายาทแบบยั่งยืน
นายณฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้AUA เฉลี่ยโตปีละ 20 % เนื่องจากลูกค้ามีการแนะนำให้คนรู้จักเข้ามาใช้บริการ โดยในกลุ่มเศรษฐีที่รวยที่สุดในประเทศไทย 50 อันดับ ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes Thailand กว่า 80 % เป็นลูกค้า Wealth Management ของบริษัท
จำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ยังมาจากการที่บริษัทมีประสบการณ์ในการให้บริการมานานถึง 20 ปี โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2542 ทีมเจ้าหน้าที่มีประสบการณ์ในการให้บริการ Wealth Management และมีสินค้าให้เลือกลงทุนที่หลายหลาย ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ตราสารทางการเงิน กองทุน ETF สตรัคเจอร์โน๊ต ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงสินทรัพย์นอกตลาดในต่างประเทศ ประกอบกับที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนที่ดีกับลูกค้า โดยในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 % ต่อปี
ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายการให้บริการ คือเป็น The Best Global Private Bank สำหรับนักลงทุนไทย โดยการหาผลิตภัณฑ์การลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งในต่างประเทศนั้นมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาp เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี จากการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพราะปัจจุบันAUA ที่บริษัทบริหาร มีการลงทุนในต่างประเทศ เพียง 5-6 % เท่านั้น บริษัทประเมินว่าสัดส่วนที่เหมาะสมในการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศที่ประมาณ 10-15 %
บริษัทได้จับมือกับ Private Equity Firm ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกที่มี AUA สูงที่สุด ในการให้ลูกค้าของบริษัท สามารถลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ซึ่งปกติไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าไปลงทุน เพราะมีมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำสูง และต้องใช้เวลาลงทุนนาน แต่จะให้ผลตอบแทนสูงเฉลี่ย 15-20 % ซึ่งกองทุนแรกที่บริษัทแนะนำลูกค้าเข้าไปลงทุนเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง และบริษัทจะมีการคัดเลือกกองทุนใหม่ๆของพันธมิตรให้ลูกค้าเข้าลงทุนเพิ่มขึ้น