‘เอสซีจี’ รุกพัฒนาพลาสติก-ตั้งเป้าเป็นผู้เล่นระดับโลก
‘เอสซีจี’ รุกพัฒนาพลาสติก-ตั้งเป้าเป็นผู้เล่นระดับโลก ท่ามกลางการแข่งขันกันอย่างคึกคักเพื่อผลิตพลาสติกนวัตกรรมรองรับกระแสรักษ์โลก
"พลาสติกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" เป็นเทรนด์ของธุรกิจเคมีภัณฑ์โลก ที่บริษัทต่างๆพยายามแข่งกันพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เน้นใช้ทรัพยากรให้น้อยลง แต่ได้สินค้าที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่
“รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการลงทุนด้านนวัตกรรมและพัฒนาพลาสติกในปัจจุบันว่า เอสซีจีมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้วยการสร้างสมดุลด้านสังคมที่มั่นคงและสิ่งแวดล้อมที่ดี
ขณะเดียวกัน ก็มองว่า กุญแจที่จะไขไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจคือ การได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยขณะนี้เอสซีจี กำลังหารือกับตัวแทนจำหน่าย 2-3 รายในยุโรป และคาดว่าปีหน้าจะตกลงกันได้อย่างน้อยก็หนึ่งรายในช่วงต้นปีหน้า
"แผนการดังกล่าวเป็นการลงทุนตามนโยบายที่ต้องการจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่เป็นพลาสติกชนิดพิเศษของกลุ่มปิโตรเคมีให้มากขึ้น จากปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนสินค้าประเภทนี้อยู่ที่ประมาณ 50% และอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% เพื่อให้บรรลุเป้าหมายก้าวขึ้นไปเป็นผู้เล่นระดับโลกภายใน 2-3ปีข้างหน้า" กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี กล่าว
รุ่งโรจน์ ยังแสดงความมั่นใจถึงศักยภาพของเอสซีจีในด้านนวัตกรรมการพัฒนาพลาสติก เพราะนอกจากเอสซีจีจะมีพันธมิตรเป็นบริษัทต่างชาติแล้ว บริษัทยังเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา SCG Advanced Materials Laboratory ที่เมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาต้นแบบสินค้าในกลุ่มวัสดุเฉพาะทาง (Functional Materials)
“ในปี 2561 เอสซีจีได้ลงทุนไปกับงานวิจัยนวัตกรรมพลาสติกจำนวน 4.6 พันล้านบาทเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยในปัจจุบันเอสซีจี มีพนักงานที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยประมาณ 690 คน จดสิทธิบัตร 1,200 ฉบับ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 40% จากเมื่อปี 2560”รุ่งโรจน์ เผย
ศูนย์วิจัยฯ นี้ มุ่งพัฒนาสินค้าเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ที่สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกในผลิตภัณฑ์ แต่ยังคงความแข็งแรงทนทานได้ดี สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันทางธุรกิจ และผลักดันให้เอสซีจีก้าวไปสู่การเป็นผู้เล่นระดับโลกได้
ตอนนี้ เอสซีจี กำลังเร่งขับเคลื่อนโครงการลองซัน ปิโตรเลียม เคมิคอล(แอลเอสพี)เป็นธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจรขนาดใหญ่ระดับโลกที่ลงทุนในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตใหญ่อีกแห่ง ที่ส่งออกสินค้าของบริษัทให้ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชีย และขยายไปยังตลาดในภูมิภาคอื่นๆ
โครงการลองซันฯ เป็นโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 5,400 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นการลงทุนหลักของเอสซีจีในปัจจุบัน ซึ่งการลงทุนโครงการนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในธุรกิจเคมีภัณฑ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน รวมทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาคิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับโครงการลองซันฯ ตั้งอยู่ที่จังหวัดบ่าเหรี่ยะ-หวุงเต่า ห่างจากนครโฮจิมินห์ประมาณ 100 กิโลเมตร มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ปริมาณ 1.6 ล้านตันต่อปี สำหรับผลิตเม็ดพลาสติกประเภทพอลิเอทิลีนที่มีความหนาแน่นสูง (HDPE) และพลาสติกโพลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำเชิงเส้น (LLDPE) และประเภทเทอร์โมพลาสติก (PP)
โครงการลองซันฯ มีกำลังผลิต 1.6 ล้านตันต่อปี ช่วยให้เอสซีจีสามารถผลิตสินค้าป้อนตลาดที่ต้องการพลาสติกชนิดพิเศษในหลายอุตสาหกรรมของเวียดนาม และโครงการนี้ยังเป็นฐานการผลิตโอเลฟินส์ เพื่อการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ด้วย
ขณะนี้โครงการลองซันฯ กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จ และเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในปี 2566 ซึ่งจะทำรายได้ให้กับเอสซีจีประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยโครงการลองซันฯ มีขั้นตอนการผลิตที่เข้มงวดตามมาตรฐานความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมเวียดนามได้อย่างยั่งยืน