นายกฯ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนสร้างความแข็งแกร่ง ย้ำธุรกิจต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
นายกฯ เปิดตัวเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (TRBN) ผนึกกำลังทุกภาคส่วนสร้างความแข็งแกร่ง
วันนี้ (2 ธ.ค. 62) เวลา 09.00 น. ณ ห้องคริสตัล บอลรูม ชั้น 3 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทลแบงค็อก ถนนวิทยุ กรุงเทพมหานคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดตัวเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Responsible Business Network : TRBN) และปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “พลังภาคเอกชนจะร่วมสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมให้ประเทศไทยได้อย่างไร และภาครัฐพร้อมสนับสนุนอะไรบ้าง” โดยมี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ประทศไทยขับเคลื่อนด้วยกลไกประชารัฐ รัฐบาลในฐานะกำกับดูแลนโยบาย อำนวยความสะดวก สนับสนุน ริเริ่มมาตรการ โดยเฉพาะมาตรการทางการเงินสมัยใหม่ที่อยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนด เช่น การจัดต้องกองทุนขึ้นมา เพื่อให้ทันและสอดคล้องกับการพัฒนาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง รัฐบาลต้องคิดใหม่และทำใหม่ให้สอดคล้องการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ได้ ในปี 2564 ไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ จึงเตรียมการและพัฒนาทักษะแรงงานและคนในประเทศให้พร้อม ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะถดถอย และเปลี่ยนแปลง (DISRUPTION) ที่ทำให้อะไรแบบเดิม ๆ ต้องหยุดชะงัก รวมทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลฝ่ายเดียวคงทำไม่ได้ทั้งหมด จึงขอฝากให้ช่วยกันสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับประเด็นท้าทายดังกล่าว
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าประเทศไทยยังมีทุนที่เข้มแข็ง มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมใจ และมีศิลปวัฒนธรรมยิ่งใหญ่หลากหลายไม่แพ้ชาติใด และหลักเศรษฐกิจพอเพียง หรือ ศาสตร์พระราชา ที่องค์กรระดับโลกให้การยอมรับและยกย่องว่า คือ แนวทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชิงเกษตร และภูมิปัญญาไทย รวมถึงน้ำใจและรอยยิ้มคนไทย ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG อาทิ พ.ร.บ. ธุรกิจเพื่อสังคม พ.ร.บ.ป่าชุมชน ส่งเสริมให้ปลูกไม้มีค่า (58 ชนิด) เพื่อเป็นหลักทรัพย์และมรดก ทำให้ปลูกป่าเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ทำให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้โดยร่วมกันดูแลรักษาป่าอย่างเหมาะสม ด้านธรรมาภิบาล เน้นให้ภาครัฐมีความโปร่งใส การประมูล เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดจ้าง นักลงทุนมีการตื่นตัวเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน เกิดเป็นมาตรฐานใหม่ๆ ในการแข่งขันของภาคธุรกิจ หลายบริษัทได้ร่วมมือกันฟื้นฟูป่าชายเลน และเปิดโอกาสให้คนพิการได้มีงานที่ดีและมั่นคง
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีชื่นชมเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และภาคเอกชนทุกหน่วยงาน ผู้ร่วมกันจัดงานเปิดตัวเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความร่วมมือในการสร้างความยั่งยืนของประเทศ และพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง โดยหวังว่าภาคเอกชนจะร่วมกันพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และร่วมกันใช้ทรัพยากรอันล้ำค่า ที่มีอยู่จำกัดอย่างมีคุณค่า ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสร้างจิตสำนึกความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน โดยไม่นิ่งดูดาย จับมือกันสานพลัง และกระจายความเจริญก้าวหน้า ความรู้ และโอกาสไปสู่บุคคล องค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศ
อนึ่ง ก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรี ได้หารือร่วมกับสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายเพื่อความยั่งยืน และ CEOs ของบริษัทจดทะเบียน และรับข้อเสนอของภาคเอกชนและเครือข่ายฯ ที่ต้องการให้รัฐบาลขับเคลื่อน เช่น การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมธุรกิจปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ การทำเกษตรแปลงใหญ่และให้เกษตรกรเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อลดต้นทุนการผลิต ใช้การตลาดนำการผลิต การให้ความรู้เรื่องการเงินแก่ประชาชน การทำให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน การแก้ปัญหา IUU การพัฒนาศักยภาพแรงงานและคนในประเทศให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก และการพัฒนาประเทศรองรับการเข้าสังคมผู้สูงอายุในอนาคต ซึ่งสอดรับกับนโยบายที่รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้วและจะขับเคลื่อนต่อไป นายกรัฐมนตรียังขอให้ภาคเอกชนกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมฝากให้ร่วมกันสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ และประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศชาติจะได้รับ