กระดูก 9 ชิ้นในคดี 'บิลลี่' เสื่อมสภาพ
ทีมโฆษกดีเอสไอ โร่แจงผลตรวจกระดูก 9 ชิ้นในคดี”บิลลี่” เสื่อมสภาพ ยันไม่กระทบคดี เหตุดีเอ็นเอในกะโหลกศรีษะชี้ชัดคดีฆาตกรรม
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) -2 ธ.ค.62 คณะโฆษดีเอสไอ เผยแพร่เอกสารข่าวชี้แจงผลการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ในคดีฆาตกรรมนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ว่า จากกรณีที่พนักงานสอบสวนได้ส่งหลักฐานเป็นชิ้นส่วนกระดูก จำนวน 9 ชิ้นที่คณะทำงานสหวิชาชีพได้นำขึ้นมาจากใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เพื่อขอความร่วมมือตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรมของกระดูกดังกล่าวกับ สารพันธุกรรมของนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี่ หรือบิลลี่ รักจงเจริญ ซึ่งหายตัวไปภายหลัง ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมไปว่ามีความสัมพันธ์เป็นมารดากับบุตรหรือไม่นั้น ล่าสุดพ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้รับทราบผล การตรวจพิสูจน์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในเบื้องต้นว่าชิ้นส่วนกระดูกทั้ง 9 ชิ้น เป็นของมนุษย์ แต่จากสกัดหาสารพันธุกรรมในกระดูกดังกล่าวพบว่าเสื่อมสภาพแล้ว ซึ่งหลังจากนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะต้องสอบปากคำแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ เพื่อรวมเข้าสานวนการสอบสวนต่อไป
อธิบดีดีเอสไอ ระบุด้วยว่า กระดูกที่พบจำนวน 9 ชิ้น เป็นชิ้นส่วนกระดูกที่พบจากการตรวจค้นเพิ่มเติม ภายหลังจากที่ค้นพบกระดูกที่บริเวณกระโหลกศรีษะและ ถังน้ำมัน โดยอยู่ห่างจากบริเวณที่พบกระดูกที่เป็นชิ้นส่วนของกระโหลกศรีษะพอสมควร ซึ่งในการสอบสวน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีหน้าที่รวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่จะกระทำได้เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น จึงมีการใช้สหวิชาชีพในการแสวงหาและรวบรวมหลักฐาน ใช้วิทยาการหลายสาขา รวมทั้งนำมิติด้าน นิติวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ข้อเท็จจริง อันเป็นการแสดงถึงการปฏิบัติงานที่โปร่งใส ปราศจากอคติ อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าว ในทางการสอบสวนไม่ได้มีนัยยะที่สาคัญเพิ่มเติม เนื่องจากชิ้นส่วนกระดูกที่เป็น กระโหลกศรีษะซึ่งค้นพบพร้อมกับการพบถังน้ำมันในครั้งแรก ได้มีการตรวจพิสูจน์ทางไมโตรคอนเดรียและ มีการสอบสวนพยานกลุ่มเครือญาติประกอบแล้วฟังได้ว่าเป็นของนายพอละจี่ ประกอบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้ยืนยันแล้วว่าหากกระดูกชิ้นดังกล่าวไม่อยู่ในร่างกายเจ้าของกระดูกจะเสียชีวิต ดังนั้น ผลการตรวจกระดูก ทั้ง 9 ชิ้นนี้จึงไม่ได้มีผลต่อรูปคดีแต่อย่างใด