เตือน 'ทศวรรษนี้' โลกร้อนสุดเป็นประวัติการณ์
หน่วยอุตุนิยมวิทยาของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เตือน คริสต์ทศวรรษนี้ (ปี 2553-2562) โลกจะร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเริ่มเกิดขึ้นเร็วกว่าที่มนุษยชาติจะปรับตัวได้ทัน
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) เผยแพร่รายงานในวันนี้ (3 ธ.ค.) ว่า อุณหภูมิโลกตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.1 องศาเซลเซียส ทำให้ปีนี้มีแนวโน้มจะเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากปี 2559 และ 2558
ขณะเดียวกัน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากฝีมือมนุษย์ทั้งการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การก่อสร้าง การปลูกพืชและการขนส่งจะทำให้ความเข้มข้นของคาร์บอนในชั้นบรรยากาศทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในปีนี้
ส่วนมหาสมุทรที่ดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจกก็มีอุณหภูมิสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกมา ระดับน้ำทะเลโลกเมื่อเดือน ต.ค. สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพราะช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แผ่นน้ำแข็งที่เกาะกรีนแลนด์ละลายถึง 3.29 แสนล้านตัน นอกจากนี้ น้ำทะเลโลกยังมีความเป็นกรดมากกว่าเมื่อ 150 ปีก่อนถึง 1 ใน 4 เสี่ยงเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศทางทะเลที่เป็นแหล่งอาหารและรายได้ของคนทั่วโลก
รายงานดับเบิลยูเอ็มโอ ระบุอีกว่า ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ทั่วโลกมีคนพลัดถิ่นในประเทศมากกว่า 10 ล้านคน ในจำนวนนี้ 7 ล้านคนเป็นผลจากสภาพอากาศเลวร้ายโดยตรง เช่น พายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ตัวเลขจนถึงสิ้นปีนี้อาจเพิ่มเป็น 22 ล้านคน
อุณหภูมิโลกที่สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยยุคก่อนอุตสาหกรรมเพียง 1 องศา ยังทำให้เกิดคลื่นความร้อนถึงขั้นเสียชีวิตในยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกิดพายุใหญ่ทำลายทั่วตะวันออกเฉียงใต้ของแอฟริกา เกิดไฟป่าที่เกินความควบคุมในออสเตรเลียและรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ
บรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่า รายงานนี้เป็นการตอกย้ำว่ามนุษยชาติยังไม่ปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนแต่อย่างใด แม้บรรดาผู้นำโลกทำ “ความตกลงปารีส 2015” ไว้ว่า จะจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้น 2 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนอุตสาหกรรม