สงครามการค้า 'พักรบชั่วคราว'
แม้ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า สหรัฐและจีนต่างเห็นชอบข้อตกลงการค้าเฟส 1 แล้ว ซึ่งแนวโน้มก็น่าจะดีขึ้น แต่มองได้ว่าเป็นแค่การพักรบชั่วคราวเท่านั้น สงครามยังไม่จบ เพราะยังคงต้องลุ้นการเจรจาข้อตกลงเฟส 2 ต่อไปอีก
สงครามเย็นหรือสงครามอุดมการณ์ระหว่างค่ายโลกเสรี นำโดยสหรัฐ กับค่ายคอมมิวนิสต์อย่างสหภาพโซเวียตที่ยุติลงเมื่อปี 2534 พร้อมกับการล่มสลายของพี่ใหญ่ฝ่ายหลัง ถึงวันนี้น่าจะไม่ใช่เสียแล้ว สงครามเย็นระลอกใหม่กลับมาอีกครั้ง คู่ปรปักษ์ฝ่ายหนึ่งยังเป็นสหรัฐเหมือนเดิม แต่รอบนี้เปลี่ยนคู่ต่อกรเป็นจีน โดยมีชนวนเหตุมาจาก "สงครามการค้า" ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดฉากเก็บภาษีสินค้าจีน เมื่อวันที่ 22 มี.ค.2561 ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะเขาเคยหาเสียงด้วยนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" และเคยโอดครวญมาตั้งแต่ไม่เข้าวงการการเมืองเรื่องที่จีนทำการค้าเอาเปรียบ เกินดุลการค้าสหรัฐปีละหลายแสนล้านดอลลาร์ เมื่อหาเสียงไว้เช่นนั้นถึงคราวได้ตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์จึงต้องลุย "ทำตามสัญญา"
พูดกันอย่างเป็นธรรม ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้จงใจขึ้นภาษีกับจีนเพียงประเทศเดียว งานนี้ผู้นำสหรัฐเอาคืนทุกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนซี้อย่างสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ใครค้าขายเกินดุลสหรัฐเยอะๆ เป็นต้องโดนเอาคืนหมด ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจากหลายประเทศ บีบให้คู่กรณีต้องมาเจรจา ด้วยเชื่อว่า ตนเป็นนักเจรจามือหนึ่ง คุยกับใครไม่มีพลาด
โดยลืมไปว่าจีนยุคนี้ไม่ได้ยากจนเหมือนสมัยก่อน ผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดการณ์ว่า ปี 2563 ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะขยายตัวและแซงหน้าสหรัฐขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ นอกจากมีเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือแล้ว จีนยังมีประชากรมากที่สุดในโลก เรื่องเทคโนโลยีก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว "หัวเว่ย" ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีแดนมังกร เป็นเจ้าด้านเทคโนโลยี 5จี ในตอนนี้
เมื่อคู่แข่งไม่ใช่หมูให้เคี้ยวง่ายๆ ความขัดแย้งที่เริ่มต้นจากการค้าจึงบานปลายไปในหลายแนวรบ ขยายไปถึงเรื่องความมั่นคง สหรัฐกดดันชาติพันธมิตรกีดกันหัวเว่ย ไม่ให้เข้าไปทำเครือข่าย 5จี อ้างว่าจะกลายเป็นเครื่องมือให้รัฐบาลปักกิ่งเข้าไปสอดแนม และที่เพิ่งขัดแย้งกันสดๆ ร้อนๆ ก็หนีไม่พ้น "กฎหมายประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนฮ่องกง" ที่ผ่านสภาคองเกรสมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามระหว่างลุ้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเฟส 1 กับจีน สร้างความแค้นเคืองให้กับปักกิ่งหาว่าสหรัฐกำลังแทรกแซงกิจการภายในของจีน
เราเห็นว่า แม้ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าทั้งสองฝ่ายเห็นชอบข้อตกลงการค้าเฟส 1 ระงับขึ้นภาษีที่มีกำหนดเก็บวันที่ 15 ธ.ค. และจีนยอมซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐมากขึ้น แต่ก็มองได้ว่าเป็นแค่การพักรบชั่วคราว สองมหาอำนาจเศรษฐกิจต่างหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่สุดท้ายส่งผลต่อตนเอง แท้จริงแล้ว สงครามนี้ยังไม่จบ ยังต้องลุ้นการเจรจาข้อตกลงเฟส 2
รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.2563 ที่ทรัมป์จะอยู่หรือไป ดังนั้นท่าทีของรัฐบาลไทยในสงครามเย็นรอบใหม่เห็นทีต้องดูตัวอย่างสงครามเย็นในอดีต อย่าผลีผลามเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างสุดตัวจนกลายเป็น "หมูในอวย" ถูกต้มสุกสนิทนอนแน่นิ่งให้เขากินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ต้องสร้างสมดุลระหว่างสองคู่อริ มีจุดยืนในการดำเนินนโยบายการค้าและต่างประเทศ ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ต้องมีเสียงสนับสนุนจากประชาชนเป็นฐานอำนาจที่สำคัญ เป็นผู้เล่นที่เข้าข้างไหน ข้างนั้นชนะ!!