‘กรุงไทย’เขย่าองค์กรครั้งใหญ่ จ่อปิด 70 สาขา ลดพนักงาน 30% ใน 3ปี
“กรุงไทย” เปิดแผนยุทธศาสตร์ปีหน้า ยึดกลยุทธ์ “เรือใหญ่” วิ่งคู่ “เรือเล็ก” เน้นการเป็น “โอเพนแบงกิ้ง” ผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” พร้อมเพิ่มความสำคัญกับ “ไอที อินฟราสตรัคเจอร์” ส่วนแผนงานสาขาปีหน้า เล็งปิดเพิ่ม 50-70แห่ง พร้อมเตรียมลดพนักงานลง30%ใน3ปี
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดแผนยุทธศาสตร์ปี 2563 ยึดกลยุทธ์ต่อยอดการเติบโตจาก “คู่ค้าของลูกค้า” ผ่านการขับเคลื่อนองค์กรใน 2 รูปแบบสำคัญ ทั้งการเป็น “เรือบรรทุก” หรือ “Carrier” และ “เรือเร็ว” หรือ “สปีดโบ๊ท” โดยจะให้ความสำคัญกับระบบไอทีที่มากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีแผนลดจำนวนสาขาและพนักงานลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การเดินตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้ สิ่งสำคัญที่ต้องมี คือ IT Infrastructure ที่จำเป็นต้องยึดโยง 4 แกนหลัก คือ 1.แบงก์ต้องรวดเร็ว 2.ต้องมีระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ สามารถปรับสเกลได้อย่างรวดเร็ว 3.การเป็น Decontract the core คือการถอนแกนออก โดยเฉพาะระบบไอทีที่ใช้รันธุรกิจต้องไม่ใช่ก้อนใหญ่อีกต่อไป ทุกอย่างต้องเป็น Modular แบบแยกส่วนที่สามารถดึงออกมาเป็นเลโก้ เพื่อนำมาต่อรวมกันได้ในหลายมิติ
สุดท้ายคือต้องเป็นองค์กรที่ดีขึ้น ต้องมีระบบการรับรู้การเข้าถึงลูกค้าในหลายมิติ ซึ่งระบบไอทีของแบงก์ ต้องเป็น มัลติสปีด ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้สามารถเข้ากับสภาวะการณ์ต่างๆได้ตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่ต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
“ที่ผ่านมากรุงไทยเป็นเหมือนอุลตราแมน แต่อนาคต กรุงไทยต้องเป็นทรานฟอร์เมอร์ที่สามารถแปลงโมดุ ให้เป็นเลโก้ที่ใช้เชื่อมต่อได้ทุกระบบ”
ขณะเดียว การให้บริการของแบงก์ในอนาคต ต้องเป็นโอเพ่นแบงกิ้งมากขึ้น ผ่านการใช้แพลตฟอร์มเป๋าตัง และ อี-วอลเลต ที่เป็นระบบเปิดเพื่อให้ทุกภาคส่วนจะเข้ามาเชื่อมต่อผ่าน API ได้ ทำให้เกิดไฟแนนเชียลวอลเลตที่ครอบคลุม และทุกคนเข้าถึงมากขึ้น
“แนวคิดการเป็นโอเพ่นแบงกิ้งบนแพลตฟอร์มเป๋าตัง ที่จะไปกับสปีดโบท ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นตัวที่ดึง Carrier ตามมา ก็เหมือนหน่วยซีล หน่วยนาวิกโยธิน ที่พาไปหาอาณาจักรใหม่ สถานที่ใหม่ บนโมเดลใหม่ แต่เมื่อเจอมิติที่แน่นอน แบงก์ก็จะนำ Carrier ตามมา อันนี้ คือ บิซิเนสโมเดล ที่แบงก์อยากให้เห็นภาพ”
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานของธนาคารปีหน้า ในส่วนของสาขายังมีแผนทยอยปิดต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะปิดอีกราว 50-70 สาขา เพื่อให้สอดคล้องกับการเข้าสู่ดิจิทัลแบงกิ้ง ช่วยลดต้นทุนของธนาคารลงได้ ขณะเดียวกันมีแผนเพิ่มฐานลูกค้าโมบายแบงกิ้งเพิ่มเป็น 12 ล้านคนในปีหน้า จากปัจจุบันมีจำนวน 7 ล้านคน
ส่วนแผนระยะกลาง 2-3 ปีข้างหน้า ธนาคารตั้งเป้าหมายลดจำนวนพนักงานลงราว 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.1 หมื่นคน โดยแผนการลดพนักงานดังกล่าวจะไม่ใช้การ “ลด” หรือ “ปลด” พนักงาน แต่จะไม่รับพนักงานใหม่เพิ่ม
นายผยง กล่าวว่า ในส่วนของเป้าหมายสินเชื่อ ธนาคารคาดว่าปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า3% จากปีนี้ที่คาดว่าสินเชื่อรวมจะขยายตัวต่ำกว่าจีดีพี โดยการเติบโตหลักๆของสินเชื่อปีหน้า มาจากทั้งกลุ่มลูกค้ารายย่อย สินเชื่อภาครัฐ และธุรกิจรายใหญ่ รวมถึงเอสเอ็มอี ที่คาดว่าจะเป็นส่วนผลักดันให้แบกง์เติบโตมากขึ้น
ส่วนแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ธนาคารคาดว่าจะลดลงจากปีนี้ ที่คาดว่าสิ้นปีจะเห็นเอ็นพีแอลต่ำลงได้ จาก 9 เดือนที่เอ็นพีแอลอยู่ที่ 4.58 % หรือเห็นเอ็นพีแอลต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทในอนาคต เนื่องจากแบงก์มีระบบบริหารจัดการเอ็นพีแอลที่ดีขึ้น ทั้งการบริหาร การขายหนี้ต่างๆ รวมถึงแนวโน้มการเกิดหนี้ใหม่ จากการปล่อยสินเชื่อใหม่มีแนวโน้มลดลง ทำให้เชื่อว่าปีหน้าผลการดำเนินของธนาคารจะมีเสถียรภาพมากขึ้น