สั่งสอบ 'ตร.ทองหล่อ' ต้องแจงใน 7 วัน ปมไถเงินแสนฝรั่งพี้กัญชา แลกปล่อยตัว
"ผบ.ตร." สั่งบก.น.5สอบ "ตำรวจทองหล่อ" ให้รายงานผลใน 7 วัน ปมไถเงินแสนฝรั่งพี้กัญชา แลกปล่อยตัว
จากกรณีนักท่องเที่ยวหนุ่ม ชาวฝรั่งเศส ถูกตำรวจสถานีนครบาล (สน.) ทองหล่อ รีดเงินกว่า 8 พันดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 2.5 แสนบาท หลังการตรวจค้นยาเสพติด ระหว่างเดินอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 ไม่พบ แต่กลับเอาตัวไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล ซึ่งพบเพียงสารอนุมูลกัญชาเล็กน้อย ที่มาจากน้ำมันกัญชาที่ใช้รักษาอาการป่วย ซึ่งไม่ใช่การเสพยาเสพติด ก่อนร้องเรียนสถานทูตฝรั่งเศส
พันตำรวจเอก (พ.ต.อ.) กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก ตร.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้รับรายงานจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (บก.น.5) ว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม เวลาประมาณ 20.00 น. สน.ทองหล่อ เข้าตรวจสอบคอนโดมิเนียม ริชมอนต์ พลาเลส ซอยสุขุมวิท 43 หลังได้รับร้องเรียนว่า ที่พักแห่งนี้ มีชาวต่างชาติ มั่วสุมยาเสพติดและสันนิษฐานว่าอาจมีการลักลอบจำหน่ายยาเสพติด จากการตรวจสอบ พบผู้ต้องสงสัย ชาวฝรั่งเศส จึงเรียกตรวจสอบ ตรวจค้น แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายอย่างใด แต่ไม่สามารถแสดงหนังสือเดินทางตัวจริงได้ จึงเชิญตัวมาเพื่อตรวจร่างกาย ทดสอบปัสสาวะหาสารเสพติดที่ สน.ทองหล่อ ซึ่งผลทดสอบปัสสาวะเบื้องต้น พบสารเสพติดและเภทกัญชา
ขณะที่ผู้ต้องสงสัยชาวฝรั่งเศส ให้การว่าเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจาก สวัสดีคลีนิค คลินิคเฉพาะทางที่ให้การรักษาผู้ป่วยโดยใช้น้ำมันกัญชา และได้ติดต่อให้มารดา นำตัวอย่างน้ำมันกัญชาและเอกสารเป็นใบเสร็จ ที่จะแสดงว่าได้ซื้อน้ำมันกัญชามาอย่างถูกต้องจากคลีนิค มาเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง รวมถึงหนังสือเดินทาง มาแสดงต่อทางตำรวจด้วย ระหว่างนั้น ทางตำรวจได้พาผู้ต้องสงสัยชาวฝรั่งเศส ไปยังโรงพยาบาลเทพธารินทร์ เพื่อตรวจยืนยันสารเสพติดในปัสสาวะว่า จะมีจำนวนสารสอดคล้องกับการใช้น้ำมันกัญชาหรือไม่ ซึ่งผลตรวจของ รพ.เทพธารินทร์ ยืนยันว่ามีสารเสพติดประเภทกัญชาในปัสสาวะ และไม่สามารถยืนยันถึงวิธีการรับเข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งจากข้อมูลที่ปรากฎข้างต้น จึงสันนิษฐานว่า สารเสพติดประเภทกัญชาที่ตรวจพบในตัวผู้ต้องสงสัย ชาวฝรั่งเศส รับเข้าสู่ร่างกายโดยการใช้น้ำมันกัญชาที่ได้รับอนุญาตให้ใช้อย่างถูกต้อง จึงทำการปล่อยตัว
ต่อมานายปรัชญ์ จิตต์รุ่งเรืองชัย ได้ร้องเรียนว่า ตำรวจ สน.ทองหล่อ รับเงินจำนวน 250,000 บาท แลกกับการปล่อยตัว โดยผู้ต้องสงสัย ชาวฝรั่งเศส เล่าให้ฟังขณะถูกควบคุมตัวเพื่อรอผลตรวจปัสสาวะที่ สน.ทองหล่อ นั้น มีเพื่อนคนไทยอ้างตัวว่า สามารถพูดคุยกับตำรวจให้ปล่อยตัวได้ โดยต้องจ่ายเงิน 8,200 ดอลล่าร์ ผู้ต้องสงสัย ชาวฝรั่งเศส จึงทำการโอนเงินจำนวนดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของภรรยาของเพื่อนคนไทยคนดังกล่าว
ภายหลังจึงได้รับการปล่อยตัว หลังได้รับเรื่องร้องเรียน พลตำรวจตรีสามารถ ศรีสิริวิบูลย์ชัย ผบก.น.5 ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้น และมีผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว โดยให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง รีบรายงานผล ภายใน 7 วัน
รอง โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า ในการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจต้องปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัด คงต้องทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้น โดยหากพบว่า มีข้อบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ไม่เหมาะสม ข่มขู่ รีดไถ หรือ เรียกรับหรือยอมที่จะรับ ผลประโยชน์อื่นใดก็จะมีบทลงโทษ ทั้งทางวินัยและอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งคงต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ผิดก็ว่าไปตามผิดไม่มีการให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว
ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการลงโทษกับ ตำรวจที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในลักษณะนี้มาโดยตลอด ทั้ง ไล่ออก ปลดออก ให้ออก ทุกพื้นที่ทั่วประเทศมาโดยตลอด ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เสื่อมเสียชื่อเสียงขององค์กรและเสียกำลังใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประพฤติปฏิบัติดี
พร้อมกันนี้ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เน้นย้ำให้การปฏิบัติงานของตำรวจต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับที่กำหนด อย่างเคร่งครัด ส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือปฏิบัติงานไม่สนองนโยบายของผู้บังคับบัญชา ก็จะไม่เข้าข้างอยู่แล้ว และหากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีความผิดก็จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด อีกทั้ง มีข้อสั่งการไปยังกองบัญชาการทุกภาคส่วน ผู้บังคับการ ผู้กำกับ หัวหน้าหน้าหน่วยในทุกต้นสังกัด ทุกพื้นที่ ให้มีการควบคุม ดูแลความประพฤติและวินัยข้าราชการตำรวจ ทั้งเวลาราชการและนอกเวลาราชการ ตามคำสั่งที่ 12122537 ในการ กวดขัน กำกับ ดูแล สอดส่องความประพฤติและพฤติกรรมของข้าราชการตำรวจภายใต้การปกครองบังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด หากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความพฤตินอกรีต ไปเรียกรับเงินทอง เรียกรับผลประโยชน์อื่นใด หรือแม้กระทั่งใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ โดยให้ดำเนินการตรวจสอบกระทำด้วยความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งหากผลการตรวจสอบพบว่าได้กระทำผิดจริงให้ดำเนินทางวินัยและอาญา อย่างเด็ดขาด