10 ข่าวเด่น ปี 2562
ใกล้จะผ่านไปอีกหนึ่งปี ในทุกวันมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น เราได้ย้อน 10 ข่าวที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในปีนี้ เพื่อเตือนความจำว่าในปีนี้เราได้ผ่านอะไรมาบ้าง
1. การเลือกตั้งทั่วไป 2562
หลังจากห่างหายการเลือกตั้งไป 5 ปี เมื่อกกต.ประกาศวันเลือกตั้ง ทำให้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมา โดยครั้งนี้ได้มีหลายพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่มาเข้าชิงเก้าอี้เป็นสมัยแรก ทั้งการเสนอนโยบายที่เรียกเสียงที่ฮือฮาของแต่ละพรรค การเดินทางหาเสียงของที่ขับเคี่ยวกันจนถึงโค้งสุดท้าย นอกจากพรรคการเมืองที่ลงสนามคึกคักแล้ว ประชาชนเองก็ให้ความสนใจออกไปเลือกตั้งกันเป็นจำนวนมากถึง 38,268,375 คน
จากนั้นกกต.แถลงผลการนับคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างเป็นทางการ 100% พบว่าคะแนนเสียงมหาชน (ป๊อปปูลาร์โหวต) ของพรรคพลังประชารัฐ ได้ไป 8,433,137 ล้านเสียง จึงได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่หลังจากนั้นก็มีการเลือกตั้งซ่อมอีกหลายครั้งตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป ทั้งการเลือกตั้งซ่อม 6 หน่วย 5 จังหวัดทั่วประเทศ ที่ผลการเลือกตั้งการเลือกก็ไม่ได้ทำให้ลำดับของว่าที่ส.ส.เปลี่ยนไป แต่การเลือกตั้งซ่อมในหลายจังหวัดอย่างเชียงใหม่ นครปฐม และขอนแก่น ก็ได้มีการพลิกจากพรรคเดิมก็กลายเป็นพรรคอื่นมาชิงเก้าอี้ส.ส.ไป และยังเหลือการเลือกตั้งซ่อมอีก 2 จังหวัดที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/848791
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/852827
2. ลัลลาเบล
คดีการเสียชีวิตของพริตตี้สาว “ลัลลาเบล” หรือ น.ส.ธิติมา นรพันธ์พิฒน์ หนึ่งในข่าวร้อนแรงช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา จากหลายเหตุการณ์ที่เป็นเงื่อนงำการเสียชีวิต โดยเฉพาะการพบศพที่บริเวณล็อบบี้คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับครอบครัวและเพื่อนสนิท นำไปสู่กระบวนการสืบสวนสอบสวน หาต้นสายปลายเหตุ
เจ้าหน้าที่ตำรวจไล่เรียงไทม์ไลน์ตลอดทั้งวันของลัลลาเบล สืบสาวจนพบต้นตออยู่ที่บ้านจัดงานปาร์ตี้ จังหวัดนนทบุรี โดยจ้างให้ไปทำหน้าที่เอ็นเตอร์เทน ก่อนที่ช่วงเย็น “น้ำอุ่น” พริตตี้บอยที่อยู่ในปาร์ตี้ จะพากลับคอนโดฯ ในสภาพอาการมึนเมาไม่ได้สติ จนกระทั่งช่วงตีหนึ่งของวันถัดไป ได้อุ้มลัลลาเบลมาไว้ที่ล็อบบี้ จนกระทั่งเพื่อนผู้ตายมาพบ
จากหลักฐานทั้งกล้องวงจรปิดและการชันสูตรศพ ทำให้มีตัวละครโยงใยจำนวนมาก ทั้งเจ้าของงานปาร์ตี้ เพื่อน แฟนสาว พริตตี้สาวอีกคน และน้ำอุ่น พริตตี้บอย ซึ่งขณะนี้เป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ ทั้ง 6 คน ใน 4 ข้อหา
แต่ทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอสู้คดี โดยล่าสุดน้ำอุ่นถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจนครบาลแสมดำชั่วคราว เพื่อมาสอบสวนคดีต่อ โดยครั้งนี้ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว ขณะที่แก๊งบ้านปาร์ตี้ได้ประกันตัวเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ศาลได้นัดคุ้มครองสิทธิจำเลยในคดีอาญา วันที่ 9 ม.ค. 63 และนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 17 ก.พ. 63 ซึ่งจะดำเนินการตามกระบวนการต่อไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/851292
3. น้ำท่วมใหญ่จังหวัดอุบลราชธานีและแถบภาคอีสาน
หากไม่พูดถึงคงไม่ได้ กับ “สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่อุบลราชธานี” และจังหวัดอื่นในภาคอีสาน อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างเสียหาย และความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างมาก นักวิชาการบางรายบอกว่าอาจหนักที่สุดในรอบ 40 ปี
ด้วยแรงอิทธิพลจากร่องมรสุมพายุดีเปรสชั่นโพดุล ประกอบกับพายุโซนร้อนคาจิกิที่ตามมาซ้ำเติม ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. ถึงเดือน ก.ย. ทำให้เกิดฝนตกหนักและต่อเนื่อง เกิดปริมาณน้ำสะสม น้ำป่าไหลหลาก และท่วมฉับพลัน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นตรงไปที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นหลัก ทั้ง 25 อำเภอต้องจมอยู่ใต้น้ำ หลายหน่วยงาน ไม่เพียงแต่ภายในจังหวัดเท่านั้น ต่างรีบลงพื้นที่เพื่อเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็ไม่วายมีกระแสดราม่าเกิดขึ้น อย่างบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงชื่อดังที่อุทิศตัวให้กับการช่วยเหลือสาธารณะ ที่เชิญชวนให้มีการบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และยอดเงินพุ่งสูงถึง 422 ล้านบาท จนต้องออกมาประกาศปิดบัญชี
ล่าสุด จังหวัดอุบลราชธานีได้ฟื้นฟู และจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมครอบครัวละ 5,000 บาท ครบทุกครัวเรือนเรียบร้อยแล้ว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/847483
4. แชร์ลูกโซ่แม่มณี
แชร์ลูกโซ่มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท จากการออมเงินที่เป็นการบอกกันแบบปากต่อปาก ลงทุน 100 บาทได้ผลตอบแทน 93 บาท ทำให้คนหลงเชื่อ กว่า 4 พันราย เอาเงินมาร่วมลงทุนจำนวนมาก
น.ส.วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือ เดียร์ ได้ชักชวนคนให้ร่วมออมเงินผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยมีผลประโยชน์ตอบแทนสูง ร้อยละ 1,116 – 3,040.45 ต่อปี แต่สุดท้ายไม่สามารถคืนทั้งต้นเงินลงทุนและผลตอบแทนได้ จนมีผู้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก โดยเธอได้สร้างโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดียที่ดูดี ได้ร่วมงานคนดังมากมาย ทำให้คนเข้าใจว่า เธอคือไฮโซ มีเงินจริง และไม่หลอกลวง
ต่อมา ผู้เสียหายกว่า 200 คน เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับแม่มณี มีมูลค่าความเสียหายกว่า 128 ล้านบาท หลังจากตำรวจตรวจค้นบ้านพักตามที่ได้แจ้งไว้ กลับไม่พบอะไรผิดปกติและสามารถจับกุมตัวแม่มณีได้พร้อมสามีที่ห้องเช่าในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยดีเอสไอได้คัดค้านการประกันตัวทั้งคู่
ล่าสุด ปปง.มีมติอายัดทรัพย์สิน 15 รายการ เป็นที่ดินและบัญชีเงินฝาก 56,690,803.51 บาท ไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/853086
5. การแบน 3 สารเคมีการเกษตร
เป็นอีกเรื่องที่ความเคลื่อนไหวตลอดทั้งปี สำหรับเรื่องการแบนสารเคมีทางการเกษตร ที่กรมวิชาการเกษตรได้ออกมายื่นหนังสือให้แบบสารเคมีการเกษตรอย่างพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ก่อนคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาให้จำกัดการใช้งานแทนการแบนสารเคมีการเกษตรทั้ง 3 ชนิด
หลังจากนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้นำเรื่องเข้าครม. และสั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศ เพื่อปรับระดับการควบคุมพาราควอต ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 คือ ห้ามนำเข้า จำหน่าย และมีไว้ครอบครอง ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563
โดยล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะประชุมกันอีกครั้ง ว่าจะมีการเลื่อนเวลาการแบนพาราควอตและคลอไพริฟอสไปอีก 6 เดือน และมีมติให้จำกัดการใช้ไกโฟเสต
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/855828
6. มาตราการชิมช้อปใช้
มาถึงข่าวเด่นชิ้นที่ 6 ของปี 2562 กับมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ของรัฐบาล ที่ออกมาเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว มาตรการนี้สร้างความคึกคักได้อย่างมาก เพราะโชคชั้นที่ 1 หรือ "เป๋าตัง 1" ที่ประชาชนได้ไปฟรีๆ คือ รัฐบาลแจกเงินผ่านแอพฯเป๋าตัง 1,000 บาท ให้ไปท่องเที่ยวและใช้จ่ายในจังหวัดที่ลงทะเบียนไว้ มาพร้อมโชคชั้นที่ 2 คือ ประชาชนต้องเติมเงินเข้าแอพฯเป๋าตังเพื่อนำไปใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 30,000 บาท จะได้เงินคืน 15%
ข้อเสนอสุดพิเศษจากรัฐบาลนี้ ทำให้ประชาชนต่างออกมาลงทะเบียนช่วงปลายเดือนกันยายน 2562 ขอรับสิทธิ์เป็นแถวๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงประชาชนนับสิบล้านคนก็ลงทะเบียนเต็มจำนวนไปแล้ว ไม่ผิดคาดที่คนใช้เงินในเป๋าตัง 1 เต็มจำนวนเงิน แต่เป๋าตัง 2 นั้น ผิดคาดไปมาก
ดูเหมือนมาตรการนี้ยังเป็นผลไม่เต็มที่ เพราะส่วนที่รัฐคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจคือ เป๋าตัง 2 แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น รัฐบาลจึงปล่อยมาตรการชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 ออกมาช่วงปลายเดือน ต.ค. 2562 โดยเปิดรับลงทะเบียนเพิ่มอีก 3 ล้านคน และเพิ่มสิทธิ์ในเป๋าตัง 2 หากใช้จ่ายเกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ได้เงินคืน 20% ดังนั้นหากใช้จ่ายเต็มจำนวนจะได้เงินคืนราว 8,500 บาท แถมขยายเวลาเพิ่มเป็นถึงสิ้นเดือน ธ.ค. 2562
แต่ก็ยังเหมือนเดิม ประชาชนก็ยังไม่ค่อยจะใช้จ่ายส่วนเป๋าตัง 2 ทำให้มาตรการดูจะเข็นไม่ขึ้นสักที รัฐบาลจึงปล่อยซิงเกิลสุดท้าย มาตรการชิม ช้อป ใช้ เฟส 3 ออกมาอีกรอบ ลงทะเบียนช่วงกลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา รับจำนวน 2 ล้านคน แต่คราวนี้ขอให้สิทธิ์คนที่ไม่เคยได้รับสิทธิ์มาก่อน แต่เป๋าตัง 1 ที่ได้เงิน 1,000 บาทฟรีๆ ไม่มีอีกแล้ว แต่ยังคงสิทธิประโยชน์เป๋าตัง 2 ไว้อยู่ และขยายเวลาสิ้นสุด 31 ม.ค. 2563
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/858865
7. นโยบายกัญชาเสรี
ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยที่ได้มีการหยิบยกนโยบายกัญชาเสรีขึ้นมาปราศัย และยืนยันว่าทำได้จริง โดยจะยกให้กัญชา เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ให้ปลูกกัญชาเพื่อใช้ในครัวเรือน หากเหลือจึงขาย โดยรัฐจะเป็นคนรับซื้อและดูแลพื้นที่การปลูก การซื้อขายจะต้องผ่านทางรัฐ ไม่สามารถซื้อขายได้เองโดยตรง และรัฐจะอุดหนุนให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมกันคิดพัฒนาทำวิจัยกัญชาด้วย
หลังจากแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเรียบร้อย ได้มีการผลักดันให้กัญชาเสรีเป็นนโยบายของรัฐบาล โดยจะเริ่มจากทางการแพทย์ก่อน ผลักดันให้ใช้รักษาผู้ป่วยได้หมด แล้วจึงพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต ได้ทั้งช่วยคนป่วยและเพิ่มรายได้ให้ประชาชนไปพร้อมๆกัน
โดยล่าสุดในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 17 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา ได้อนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาเพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วยที่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/841272
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/841067
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/843447
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/841053
8. มหากาพย์การประท้วงฮ่องกง
ไม่มีใครรู้ว่าการชุมนุมประท้วงใน “ฮ่องกง” จะจบลงอย่างไร แต่ทุกคนรู้ว่า “จุดเริ่มต้น” มาจาก “ร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน” จากเกาะฮ่องกงไปยังจีนแผ่นดินใหญ่
ปมของเรื่องเกิดจาก “เหตุฆาตกรรม” ในคดีหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่รักชาวฮ่องกงไปเที่ยวไต้หวัน แล้วผู้ชายก่อเหตุฆาตกรรมแฟนสาว ก่อนหลบหนีกลับฮ่องกง แต่กฎหมายฮ่องกงไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ไต้หวัน ในขณะที่ฮ่องกงไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน จึงเป็นที่มาของร่างกฎหมายดังกล่าว
ร่างกฎหมายฉบับนี้สร้างความกังวลใจกับคนฮ่องกงบางกลุ่ม ซึ่งเกรงว่าจะเป็นการ “เปิดช่อง” ให้ส่งผู้ร้ายในคดีการเมืองของจีนที่ลี้ภัยมาฮ่องกง และยังกลัวว่าอิทธิพลของจีนจะแทรกซึมเข้ามาควบคุมในฮ่องกงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนฮ่องกงมีปมในใจอยู่แล้ว ว่ารัฐบาลจีนพยายามลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการเมือง ร่างกฎหมายดังกล่าวจึงกลายเป็น “ชนวนเหตุ” ที่จุดติดม็อบฮ่องกงขึ้นในเดือน มี.ค. 2562 และหนักข้อขึ้นนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นมา มีทั้งการจลาจลในสถานีรถไฟ จนถึงขั้นปิดสนามบิน เจ้าหน้าที่รัฐใช้กระสุนจริง ผู้ชุมนุมจุดไฟเผา ปาระเบิดเพลิง
แม้ในเวลาต่อมา นางแคร์รี่ หล่ำ ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงจะถอยก้าวหนึ่งด้วยการประกาศถอนร่าง พรบ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะนั่นเป็นเพียง 1 ใน 5 ข้อเรียกร้อง ซึ่งประกอบด้วยประกอบด้วย การถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างสิ้นเชิง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนการใช้ความรุนแรงของตำรวจ ห้ามเรียกผู้ชุมนุมว่าเป็นผู้ก่อจลาจล นิรโทษกรรมแก่ผู้ชุมนุมทุกคนที่ถูกจับ จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติและหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารอย่างเสรี ซึ่งผู้ชุมนุมยืนยันว่า จะต้องได้ตามนั้น “ห้ามขาดแม้แต่ข้อเดียว”
กว่าครึ่งปี ของการประท้วงที่ยืดเยื้อและยังไม่เห็นวี่แววของฉากจบ จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า การประท้วงฮ่องกงอาจลากยาวไปถึงปีหน้าค่อนข้างแน่นอน!
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/851721
9. สงครามการค้า 62 : ไปไม่สุด หยุดที่สงบศึก?
ผลพวงจากสงครามการค้าระหว่าง "สหรัฐ" กับ "จีน" ที่เกิดขึ้นยืดเยื้อตั้งแต่กลางปี 2561 ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลกชะลอตัวตลอดทั้งปี 2562 แม้ขณะนี้ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ในช่วงพักรบการค้าเพื่อเดินหน้าสู่การลงนามข้อตกลงเฟสแรกแล้วก็ตาม
ความตึงเครียดที่เกิดจากการตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีระหว่างสหรัฐกับจีน ไม่ได้เพียงก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น การลงทุน เทคโนโลยี การศึกษา
ขณะเดียวกัน จีน ซึ่งเป็นคู่พิพาททางการค้ากับสหรัฐโดยตรง เผชิญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้เกิดผลกระทบลุกลามไปประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเช่นกัน แต่ก็อาจมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในบางประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐ-จีน เช่น เวียดนาม เมียนมา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ดี หลังจาก 1 ปีครึ่งของความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น สหรัฐและจีนได้ประกาศในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2562 ว่า พวกเขาได้ทำข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามในวอชิงตันในช่วงต้นเดือนมกราคม 2563
และล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ แถลงว่า เขาและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน จะมีพิธีลงนามข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีนระยะแรกที่ผ่านความเห็นพ้องของทั้ง 2 ฝ่ายในเดือน ธ.ค.
“ท้ายที่สุด เราก็จะได้ลงนามเมื่อเราพบกัน และเราจะมีการลงนามที่เร็วกว่าเดิม เพราะเราต้องการให้ทุกอย่างลุล่วง ข้อตกลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนการแปล”
ด้าน โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) กล่าวเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า คณะผู้แทนจากทั้ง 2 ประเทศจะลงนามข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 ในสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. 2563
ส่วนกระบวนการหลังจากนี้จะอยู่ในขั้นตอนการเจรจาการค้าระยะที่ 2 ซึ่งจะมีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากปัญหาพื้นฐานหลายประการที่สหรัฐเรียกร้องต่อจีน ยังไม่ได้รับการพิจารณา เช่น การค้าดิจิทัลและการไหลของข้อมูลข้ามพรมแดน
ขณะที่ระยะเวลาของการเจรจาการค้าระยะที่ 2 นั้น อาจส่งผลให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยืดเยื้ออีกในปี 2563 เพราะคาดว่าข้อตกลงทางการค้าระยะที่ 2 อาจไม่ได้ข้อสรุปเร็วนัก ซึ่งคงต้องจับตากันต่อไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/858076
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/859699
10. การประชุมอาเซียน ซัมมิทที่ประเทศไทย
เมื่อวันที่ 2-4 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้นำและตัวแทนจากกว่า 20 ประเทศ เข้าร่วม มีการประชุมที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทั้งการเจรจาระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา การหารือระหว่างภาคเอกชน ก่อนจะมีพิธีส่งมอบตำแหน่งประธานอาเซียน ให้กับประเทศเวียดนาม ในวันที่ 4 พ.ย.
เป็นธรรมดาของทุกครั้งที่มีการประชุมสุดยอด ที่นอกจากจะมีการประชุมระหว่างประเทศสมาชิกแล้ว ก็ยังมีการเจรจากับประเทศคู่เจรจา โดยหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของเวทีนี้ ก็คือ การหาข้อสรุปข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาร์เซ็ป (RCEP) ซึ่งเป็นชื่อเรียกข้อตกลงว่าจะเปิดตลาดการค้าสินค้าและบริการ ระหว่างกันของประเทศเอเชีย 16 ประเทศ
ได้แก่ จีน ซึ่งเป็นพี่ใหญ่และมีส่วนผลักดันข้อตกลงนี้อย่างมาก อินเดีย ซึ่งเป็นเหมือนผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากข้อตกลงนี้มากอยู่แต่เพราะทันทีที่เปิดตลาดว่ากันว่าสินค้าจะทะลักเข้าตลาดอินเดียเพราะมีจำนวนประชาการหลักพันล้านคนและยังมีสัดส่วนคนรวยผู้มีกำลังซื้ออีกจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมี ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ รวมไปถึง ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ที่สนใจร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับข้อตกลงนี้ รวมเป็น 6 ประเทศ รวมกับอาเซียนอีก 10 ประเทศ ครบจำนวน 16 ประเทศ
อาร์เซ็ปจึงกลายเป็นข้อตกลงการค้าเสรีแห่งซีกโลกตะวันออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรรวมกัน 3,500 ล้านคน มีมูลค่าจีดีพี หรือ ทำเงินได้รวมกัน 27.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ทาง “สหรัฐ” กลับทำให้ภูมิภาคเอเชียผิดหวัง ด้วยการ “ลดระดับผู้แทน” ที่เข้าร่วมประชุมซัมมิทอาเซียนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ซึ่งต่างกันมากกับประเทศอื่นๆ ที่ผู้นำประเทศเข้าร่วมประชุมเอง จนทำให้เกิดคำถามตามมาถึงความ “จริงใจ” และ “จริงจัง” ของรัฐบาลสหรัฐในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ต่อภูมิภาคนี้ หลายประเทศสมาชิกเลือกวิธีบอยคอตด้วยการลดระดับผู้แทนของตัวเองลงเช่นกัน ส่งผลให้การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐครั้งที่ 7 มีผู้นำอาเซียนเข้าร่วมเพียง 3 ประเทศ นายกรัฐมนตรีของไทย ลาว และเวียดนาม ขณะที่อีก 7 ประเทศเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเข้าร่วม ซึ่งสหรัฐก็แก้เก้อด้วยการให้นายโอไบรอัน ซึ่งเป็นตัวแทนเข้าประชุม อ่านจดหมายจากทรัมป์ต่อที่ประชุมอาเซียน-สหรัฐ มีเนื้อหา คือ การเชิญผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเยือนสหรัฐในช่วงต้นปีหน้าแทน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/852637