'คลัง' เดินสายโรดโชว์ต่างชาติ โชว์ศักยภาพ 'ศก.-ตลาดทุนไทย'
กระทรวงการคลัง นำทีมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม “Asian Financial Forum ครั้งที่ 13” ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกงระหว่างวันที่ 13-14 ม.ค.
ซึ่งได้จัดกิจกรรมพบปะผู้บริหารระดับสูงของกองทุน และนักลงทุนสถาบันในฮ่องกงกว่า 35 กองทุน มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูงถึง 20.5 ล้านล้านดอลลาร์คิดเป็น 1.5 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)สหรัฐ เพื่อนำเสนอทิศทางและนโยบายเศรษฐกิจ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย
“อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ปี 2563 เป็นปีแห่งการลงทุนของไทย พร้อมชี้แจงถึงความสำคัญของการปฏิรูปเศรษฐกิจไทย สู่การพัฒนาที่แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยไทยได้เร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งในรูปแบบกายภาพและดิจิทัล ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษระเบียงตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของไทย และการวางระบบ National e-Payment เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินของไทยให้เข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร การลดความเหลื่อมล้ำ และการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาธุรกิจ Start up และ Fintech
อีกทั้ง ไทยมีสภาวะด้านการคลังและการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมจะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะด้านการบริโภคและการลงทุนในประเทศในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน
นักลงทุนส่วนใหญ่ สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน และแนวทางบริหารของรัฐบาล รัฐมนตรีคลังได้ชี้แจงว่า ด้วยเสถียรภาพการเงินและการคลังที่แข็งแกร่งของไทยจะทำให้สามารถออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนค่าเงินก็เป็นอีกเรื่องที่นักลงทุนสนใจสอบถาม ชี้แจงว่า เราพร้อมออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแล หากเงินบาทแข็งค่าเกินกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ
ส่วนเรื่องงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ที่ล่าช้า ชี้แจงว่าเป็นเพราะการเลือกตั้งในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดความล่าช้า แต่ขณะนี้กฎหมายผ่านแล้ว จึงจะเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เร็วยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังสอบถามถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีต่อเอสเอ็มอีไทย ซึ่งได้ออกมาตรการดูแลไปแล้วและจะมีมาตรการดูแลต่อเนื่อง
" นักลงทุนแสดงความสนใจในเศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทยเป็นอย่างมาก และมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข่งแกร่ง และนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐต่างๆ ที่จะเอื้อต่อการลงทุนในระยะยาวต่อไป นักลงทุนเหล่านี้ ถือเป็นนักลงทุนคุณภาพที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเงินลงทุนระยะยาว”
เขาบอกอีกว่า ในปีนี้ กระทรวงการคลังจะเดินสายโรดโชว์ดึงนักลงทุนต่างชาติให้เข้าลงทุนในไทยให้มากขึ้น ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยจะโรดโชว์ประเทศที่มีนักลงทุนระยะยาว อาทิ ออสเตรเลีย อังกฤษ สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีคลังของไทย ยังได้ร่วมหารือทวิภาคีกับ “ Mr.Paul Chan” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฮ่องกง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างตลาดทุนของทั้งสองประเทศ โดยฮ่องกงจะให้การสนับสนุนการจดทะเบียนของกองทุนรวมของทั้งสองประเทศ ให้สามารถจดทะเบียนการซื้อขายข้ามประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น
“ณัฐญา นิยมานุสร” ผู้ช่วยเลขาธิการก.ล.ต. เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้ร่วมหารือกับก.ล.ต. ของฮ่องกง เพื่อทำข้อตกลงร่วมกันในการจดทะเบียนกองทุนรวมข้ามประเทศระหว่างไทยกับฮ่องกง จากปัจจุบันที่มีขั้นตอนการยื่นไฟลิ่งจากทั้งสองประเทศ ทำให้ต้องใช้เวลามาก แต่ความร่วมมือนี้จะสร้างช่องทางที่เป็นฟาสท์แทร็กให้กับทั้งสองประเทศ คาดว่าจะลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU)ในไตรมาส 2 ปีนี้
ด้าน “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพยแห่งประเทศไทย ระบุ ปัจจุบันกองทุนรวมของไทยมาลงทุนในจีนเป็นจำนวนมาก มีอย่างน้อยราว 10 กองทุน ซึ่งการให้นักลงทุนไทยสามารถมาลงทุนในสินทรัพย์ในจีนหรือฮ่องกงได้ ถือเป็นประโยชนต่อนักลงทุนมาก เพราะฮ่องกงจะเชื่อมต่อตลาดจีนที่เรียกว่านโยบาย ฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้ connect และฮ่องกง-เซิ้นเจิ้น connect ทำให้เข้าถึงตลาดจีนได้ง่ายขึ้น
ส่วนการหารือกับตลาดหลักทรัพย์และก.ล.ต. ของฮ่องกงนั้น ทางฮ่องกงยังให้ความสนใจต่อการออก Green bond ในประเทศไทย และจะให้การสนับสนุนการจดทะเบียน Green bond ของไทยในตลาดฮ่องกง โดยจะผ่อนคลายเงื่อนไขบางประการเพื่อให้จดทะเบียนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังจะมีความร่วมมือในการแชร์ข้อมูลของตลาดทุนของสองประเทศให้แก่นักลงทุนรายย่อยได้เข้าใจภาวะตลาดของทั้งสองประเทศรวมถึงเข้าใจผลิตภัณฑ์ของตลาดทั้งสองด้วย
“ในระยะต่อไป หลังจากมีความร่วมมือในการจดทะเบียนกองทุนรวมระหว่างสองประเทศได้แล้ว เราจะร่วมมือทำ Exchange Traded Fund (ETF) ทำให้การซื้อขายกองทุนรวมในตลาดหลักทรัพย์สามารถมีราคาซื้อขายได้ตลอดเวลาจากปกติที่มูลค่ากองทุนสุทธิจะประกาศในตอนเย็นของวันเท่านั้น แต่ ETFจะมีราคาซื้อขายที่เป็นปัจจุบัน”