JCK หวังขายที่ดิน 70 ไร่ ให้บริษัทไอทีจากไต้หวัน มูลค่าราว 600 ล้านบาท
JCK เผยบริษัทไอทีจากไต้หวันดีลซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม TFD เฟส 2 ราว 60 - 70 ไร่ มูลค่าราว 600 ล้านบาท พร้อมอยู่ระหว่างระดมทุนเสนอขายหุ้นกู้รวม 2 ชุด มูลค่ารวม 1,390 ล้านบาท เสนอขายให้นักลงทุนรายใหญ่
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือJCK เปิดเผยว่า ภาพรวมการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯในช่วงต้นปีนี้ พบว่ามีความต้องการจากนักธุรกิจต่างประเทศแสดงความสนใจติดต่อขอดูพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ซึ่งอยู่ระหว่างเปิดพื้นที่ขายในนิคมอุตสาหกรรมTFD เฟส 2 และได้รับการติดต่อจากบริษัทไอทีรายใหญ่จากไต้หวันสนใจจะซื้อที่ดินของบริษัทฯ จำนวน 60-70 ไร่ มูลค่ารวมราว 600 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1 ของปี 2563
บริษัทฯอยู่ระหว่างการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้มีหลักประกัน เสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้กับนักลงทุนรายใหญ่ จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 1,390 ล้านบาท แบ่งเป็น ชุดที่ 1 เสนอขายไม่เกิน 1,000 ล้านบาท อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 7% มีที่ดินเปล่าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่รวม 417 ไร่ มูลค่าประเมิน 1,318.69 ล้านบาท เป็นหลักประกัน เปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 20-23 มกราคม 2563 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมีโก้ จำกัด ทำหน้าที่จำหน่ายตราสารหนี้
หุ้นกู้ชุดที่ 2 เสนอขายไม่เกิน 390 ล้านบาทอายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 7.25%ต่อปี มีที่ดินเปล่าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่รวม 165 ไร่ มูลค่าประเมิน 488.95 ล้านบาท เป็นหลักประกัน เสนอขายระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ และ 11-12 กุมภาพันธ์ 2563 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ทำหน้าที่จำหน่ายตราสารหนี้
“บริษัทฯมีความมั่นใจว่าหุ้นกู้ดังกล่าวจะได้รับความสนใจจองซื้อจากนักลงทุนเพราะอัตราดอกเบี้ยจูงใจ และที่ดินที่นำมาใช้เป็นหลักประกันนั้นเป็นที่ดินอยู่ในพื้นที่สีม่วงสำหรับใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมซึ่งนับวันมูลค่ามีแต่จะเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมูลค่าหลักประกันรวมแล้ว 1,800 ล้านบาท มีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าในการเสนอขายหุ้นกู้ จนมีอัตราส่วนหนี้ต่อหลักประกันไม่ต่ำกว่า 1:1.25 เท่า”นายอภิชัยกล่าว
สำหรับความคืบหน้าโครงการคอนโดมิเนียมอาร์ติซาน รัชดา จำนวน 4 อาคาร มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศจีน คาดว่าจะเริ่มโอนและรับรู้รายได้ตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกของปีนี้