ชงขยายผล ตรวจสอบบุกรุกรอบเขาใหญ่ หลังแจ้งจับนักการเมือง ศธ.
พร้อมเร่งตรวจสอบและเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
คณะเจ้าหน้าที่จากชุดปฏิบัติการศูนย์การประสานการปฏิบัติ (ศปป.4) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) นำโดย พ.อ. พงษ์เพชร เกษสุภะ ซึ่งได้สนธิกำลังร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจจากศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.ทส.) ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมอุทยานแห่งชาติฯ เข้าตรวจสอบพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี ใกล้อ่างเก็บน้ำคลองไม้ปล้องด้านด่านเนินหอมตั้งแต่วันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา เสนอให้มีการขยายผลการตรวจสอบการบุกรุกอุทยานฯ แห่งชาติเขาใหญ่ หลังแจ้งความดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหา 5 ราย รวมทั้งบิดาของรมช. ศธ. กนกวรรณ วิลาวัลย์และแจ้งความบุกรุกเพิ่มเติมกับเจ้าของโฉนดที่ปรากฎชื่อของ รมช. ศธ. กนกวรรณ เป็นเจ้าของเมื่อดึกของคืนวานนี้
โดยจากการเปิดเผยของ พ.อ. พงษ์เพชรในส่วนของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เสนอเรื่องให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการตรวจสอบเร่งด่วนบริเวณ ต.เนินหอม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี และขยายผลตรวจสอบโดยรอบพื้นที่อุทยานฯทั้งหมดทุกจังหวัด
ในส่วนของ ศปป.๔ กอ.รมน.เสนอเรื่องการตรวจสอบ และเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในที่ประชุม
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ(คปป.)
และในส่วนของ กอ.รมน.จังหวัด ปราจีนบุรี ให้นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ(กบร.) จ.ปราจีนบุรี เป็นวาระเร่งด่วน
ต่อไป
ทั้งนี้ คณะเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี ใกล้อ่างเก็บน้ำคลองไม้ปล้องด้านด่านเนินหอมเพิ่มเติม หลังจากมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาไปแล้ว 5 ราย และตรวจยึดพื้นที่ที่มีการนำโฉนดที่ดิน 3 แปลงมาแสดง แต่พบว่ามีการบุกรุกล้ำเข้าไปในเขตอุทยานฯ ถึง 6 จุด พื้นที่รวมราว 11 ไร่ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ในวันที่ 15 มกราคม เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสหลังจากมีการพบการใช้รถแบ็คโฮ 3 คัน เข้าไปขุดปรับพื้นที่บนเนินเขา ก่อนที่คณะเจ้าหน้าที่ฯ สนธิกำลังเข้าไปตรวจสอบ จนมีการนำโฉนด 3 แปลงมาแสดง และถูกตรวจยึด แจ้งความดำเนินคดีในที่สุด
โดยการตรวจสอบจนถึงค่ำวานนี้พบว่า พื้นที่ในโฉนดที่นำมาแสดงเพิ่มอีกสองแปลงและพื้นที่เปิดป่าใหม่ใกล้เคียง รวมประมาณ 15 ไร่ 2 งาน มีการบุกรุกเกินเข้ามาในเขต อช. เขาใหญ่เช่นกัน
โดยโฉนดที่ดิน จำนวน 2 แปลง มีชื่อ รมช. ศธ. กนกวรรณ วิลาวัลย์เป็นเจ้าของ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ดินให้การว่า อยู่ระหว่างดำเนินการรวมที่ดินทั้งสองแปลงที่อยู่ติดกันให้เป็นแปลงเดียวกัน พื้นที่รวม 15-2-44 ไร่
คณะเจ้าหน้าที่ได้จับค่าพิกัดที่รถแบคโฮ ปรับพื้นที่ออกนอกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง พบบุกรุกขุดภูเขาเข้าไปในเขตอุทยานฯ เขาใหญ่เป็นแนวยาว และบุกรุกปิดกั้นลำน้ำติดต่อเป็นแปลงเดียวกัน คำนวณพื้นที่บุกรุกออกนอกโฉนดได้ 12-1-92 ไร่
คณะเจ้าหน้าที่จึงร่วมกันจัดทำบันทึกตรวจยึดพื้นที่บุกรุกอุทยานฯ รวม 12-1-92 ไร่ คิดค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นเงิน 1.87 ล้านบาท นำส่ง พงส.สภ. เมืองปราจีนบุรี เพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิดและเจ้าของที่ดิน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนมาดำเนินคดีต่อไป พ.อ.พงษ์เพชรกล่าว
สรุปตรวจยึดพื้นที่บุกรุก วันที่ 17 และ 20 มกราคม มีพื้นที่ตรวจยึดรวม 24-1-88 ไร่ คิดค่าเสียหายเบื้องต้น รวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น 3.675 ล้านบาท พ.อ.พงษ์เพชรระบุ
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตการได้มาซึ่งโฉนดที่ดินหลังการตั้งอุทยานฯ เขาใหญ่ในปี พ.ศ. 2505
ทางด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กรณีที่ดินในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่ 1 คือ มีการเข้าไปบุกรุกนอกโฉนด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามกฎหมายด้วยการไปแจ้งความดำเนินคดีแล้ว และส่วนที่ 2 คือบริเวณที่มีข้อกังขา ว่ามีการออกโฉนด หรือเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานฯ
ดังนั้น ต้องมีการไปตรวจสอบว่าโฉนดแปลงนั้น ถือกำเนิดมาได้อย่างไร มาจากใบ สค.หรือไม่ หรือมีมาตั้งแต่ก่อนประกาศว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในปี 2505 แล้วตกทอดมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นโฉนดในปัจจุบัน หรือมีการทับซ้อนกันจริง
ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กำลังตรวจสอบ แต่ต้นกำเนิดของใบสิทธิ์การครอบครอง ก็ต้องมีการไปตรวจสอบไล่เรียงว่าเกิดมาอย่างไร หากพบว่าเอกสารแสดงสิทธิ์ครอบครองที่ดินออกมาก่อนการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ก็เป็นสิทธิ์ที่เขาสามารถอยู่ได้ แต่ถ้ามีการประกาศเป็นเขตพื้นที่อุทยานฯ ไปแล้ว แล้วเขามาครอบครองที่ดินภายหลัง ก็ถือว่าเป็นการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ
ทั้งนี้ นายวราวุธยืนยันว่า กระทรวงทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามกฎหมาย โดยใช้กฎหมายเดียวกัน และมีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร หากพบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีอะไรต้องหนักใจ