Turn หุ้น เป็น REITs รับมือผันผวนมีนาคม
เริ่มต้นปี 2020 มีหลากประเด็นให้นักลงทุนต้องติดตาม ทั้งสงครามการค้าสหรัฐ-จีน การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เหล่านี้ส่งผลต่อตลาดหุ้น ดังนั้นนักลงทุนควรหันไปมองกองทุนรีท เพื่อรับมือความผันผวนในเดือนมีนาคมนี้
ในเดือนมกราคม 2020 นี้ มีหลายประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดข้อตกลงในประเด็นสงครามการค้า Phase 1 ระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงการเริ่มต้นการเจรจาการค้า Phase 2 ประเด็นถัดมา คือการลงมติเพื่อถอดถอน (Impeachment) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ แต่การถอดถอนนี้ต้องใช้เสียงถึง 2 ใน 3 จากวุฒิสภา แต่พรรค Democrat ซึ่งเป็นผู้ยื่นญัตติถอดถอนในครั้งนี้ มีเสียงในวุฒิสภาเพียง 45 ที่นั่ง ทำให้เราคาดว่าญัตติการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้จะไม่สำเร็จ
เป็นเพียงการพยายามทำลายชื่อเสียงของทรัมป์เท่านั้น และในประเด็นสุดท้าย คือการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร หรือ BREXIT ซึ่งมีกำหนดเส้นตายอยู่ในวันที่ 31 มกราคม 2020 นี้ โดยปัจจุบันสภาล่างของอังกฤษได้เห็นชอบร่างกฎหมาย BREXIT แล้ว หลังจากประสบความล้มเหลวมาตลอด 3 ปี
ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะมีการส่งร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในสภาสูงของอังกฤษ และหากได้รับการอนุมัติ ข้อตกลง BREXIT ดังกล่าวจะมีสถานะเป็นกฎหมาย ซึ่งจะทันเส้นตายในวันที่ 31 มกราคมนี้ ด้วยประเด็นทั้ง 3 นี้ ส่งผลให้ Sentiment การลงทุนฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 ที่ผ่านมา
แต่หากเรามองถึงเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องหนึ่งคงหนีไม่พ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 โดยทรัมป์จากฝั่ง Republican เป็นผู้ที่ตลาดคาดว่ามีโอกาส 53% ที่จะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ เน้นการใช้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่ม การจ้างงานและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงนโยบาย American First หรือการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทสหรัฐ อาทิ การลดอัตราภาษีนิติบุคคล และการทำสงครามการค้ากับจีน
ในขณะที่พรรค Democrat เน้นนโยบายด้านการกระจายรายได้เพื่อเพิ่มความเท่าเทียมกันในสังคม เช่น นโยบายเพิ่มภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวมถึง นโยบาย Medicare-for-all ซึ่งเป็นนโยบายที่จะยกเลิกระบบประกันสุขภาพภาคเอกชน และให้รัฐบาลเป็นคนควบคุมแทนทั้งหมด
ซึ่งประเด็นเหล่านี้หากถูกบังคับใช้จะส่งผลกดดันกำไรบริษัทจดทะเบียนอย่างมาก อีกทั้งยังมีผลเชิงลบต่อ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้น โดยนักลงทุนทั่วโลก กำลังจับตาวันที่ 3 มีนาคม 2020 (Super Tuesday) เนื่องจากเป็นวันที่มีการลงคะแนนเสียง 14 รัฐพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเห็นถึงแนวโน้มคะแนนนิยมของผู้สมัครตัวแทนพรรค Democrat ได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนั้นในปัจจุบันผลสำรวจผลการเลือกตั้งทั้ง 2 พรรคได้คะแนนใกล้เคียงกัน โดย TISCO ESU คาดว่าตลาดหุ้นจะเริ่มปรับตัวลดลงในช่วงดังกล่าว
หากพิจารณาถึงระดับราคาหุ้น พบว่าในปี 2019 ที่ผ่านมา ดัชนี MSCI World Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงราว 17% ส่งผลให้ปัจจุบันดัชนี MSCI World Index ซึ่ง เป็นดัชนีอ้างอิงของตลาดหุ้นทั่วโลก มีระดับ Forward P/E Ratio อยู่ที่ 16.5 เท่า สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ +1.5 SD ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับช่วงที่ตลาดหุ้น จะปรับตัวลงแรงในต้นปี 2015 และ 2018
อย่างไรก็ดีสภาวะการลงทุนยังคงเอื้อต่อการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก หรือ Global Real Estate Investment Trust (Global REITs) จากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งในปี 2020 นี้ TISCO ESU คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง รวมถึงนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE จาก Fed และ ECB ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบมากขึ้นและนโยบายดังกล่าวยังมีผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง
ซึ่งเป็นอีก 1 ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุนใน REITs โดยปัจจุบัน Dividend Yield Gap ระหว่างเงินปันผลของดัชนี FTSE EPRA Nareit Global REITS Net Total Return Index และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี อยู่ที่ราว 2.3% ถือได้ว่ายังเป็นระดับที่ยังน่าสนใจลงทุน
โดยสรุปแล้วราคาหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งราคาปัจจุบันได้ซึมซับความคาดหวังเชิงบวกจากประเด็นสงครามการค้า BREXIT และการถอดถอนประธานาธิบดี ทรัมป์ ไปพอสมควรแล้ว ส่งผลให้ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นทรงตัวอยู่ในระดับสูง การปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น และเพิ่มการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก (Global REITs) ที่ยังมีประเด็นบวกในระยะข้างหน้า จะสามารถสร้างผลตอบแทนและลดความผันผวนการลงทุนโดยรวมของพอร์ตการลงทุนได้