ภารกิจ 'สมชัย สูงสว่าง' ดันรายได้-ล้างขาดทุนอีลิทคาร์ด!
ความท้าทายของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิก “ไทยแลนด์ อีลิท คาร์ด” หนีไม่พ้นการทำความเข้าใจกับสังคมว่า อีลิทคาร์ดไม่ใช่บัตรเทวดาเหมือนภาพลักษณ์เดิมๆ
แต่เป็นบัตรที่ช่วยสร้างประโยชน์ เพิ่มการจับจ่ายของชาวต่างชาติผู้ต้องการพำนักอาศัยในประเทศไทย
และนี่คือหนึ่งในภารกิจของ สมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ซึ่งเข้ารับตำแหน่งแล้ว3เดือน ร่วมกับการปรับโครงสร้างบริษัทฯให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของธุรกิจ การเข้ามาจัดกระบวนทัศน์การบริหารตัวแทนจำหน่ายบัตรอีลิทคาร์ดซึ่งมีกว่า16ราย และลุยเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในออสเตรเลีย, อินเดียซึ่งยังไม่มีตัวแทนฯ และจีนที่จำนวนตัวแทนฯปัจจุบันยังครอบคลุมได้ไม่หมด เนื่องจากเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มาก
หวังเพิ่มยอดขายบัตรอีลิทคาร์ดทั้ง 7 ประเภทตลอดปีงบประมาณปี 2563 (ต.ค.2562 -ก.ย.2563) ให้ได้ถึง 2,500 บัตร สร้างรายได้ 1,500 ล้านบาท หลังจากไตรมาสแรกของปีงบฯ นี้ ยอดขายบัตรเติบโต 6% ดีกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยคาดว่า ณ สิ้นปีงบฯ 2563 จะมียอดรวมผู้ถือบัตรทะลุ 1 หมื่นราย
กลยุทธ์คือโฟกัสลูกค้าชาวต่างชาติจาก 5 ตลาดหลัก ได้แก่ จีน หลังเห็นเทรนด์ชาวจีนสนใจมาพำนักในไทยมากขึ้น แม้ขณะนี้จะเกิดเหตุแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 แต่จากการติดตามสถานการณ์พบว่า ยังไม่เห็นผลกระทบต่อยอดขาย เนื่องจากลูกค้าเป็นกลุ่มที่มองแบบระยะยาว (Long Term) มากกว่า นอกจากนี้ยังมีอังกฤษ ญี่ปุ่น สหรัฐ และฝรั่งเศส รวมถึงตลาดใหม่อื่นๆ ที่บริษัทฯให้ความสำคัญอย่างอินเดีย บังคลาเทศ และออสเตรเลีย
“ตามแผนงานระยะสั้น จะมุ่งสร้างโมเมนตัมให้ชาวต่างชาติรับรู้ว่าไทยเป็นประเทศที่สามารถมาใช้ชีวิตแบบลองสเตย์ได้อย่างมีความสุข เป็นบ้านหลังที่2ของเขาได้ ผ่านการพัฒนา Customer Journey สร้างประสบการณ์ที่ดีในการมาเยือน หวังลูกค้าบอกต่อความประทับใจ”
ตั้งแต่การปรับปรุงเว็บไซต์ ประสานงานกับลูกค้าที่สนามบิน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) บริการรถรับส่งถึงที่พัก รวมถึงงานบริการด้านอื่นๆ อย่างการประสานเปิดบัญชีธนาคาร แนะนำการลงทุน ประกันภัย และข้อมูลต่างๆ อย่างในเดือน มี.ค.นี้ จะให้บริการรถลีมูซีนรับส่งผู้ถือบัตรที่สนามบินดอนเมืองเพิ่ม จากปัจจุบันมีที่สนามบินสุวรรณภูมิ เชียงใหม่ และภูเก็ต พร้อมจัดทริปพิเศษให้ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วม2ครั้งในปีนี้ โดยทริปแรกคือเส้นทางท่องเที่ยวเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมในกรุงเทพฯ
สมชัย เล่าเพิ่มเติมว่าคาดว่ากลางปีนี้จะปรับลดจำนวนประเภทบัตรอีลิทคาร์ดที่ขายได้น้อยหรือไม่ได้รับความนิยม และอาจเพิ่มบัตรประเภทใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการวิจัยตลาดเพื่อรองรับเทรนด์ความต้องการใหม่ๆ มีความเป็นไปได้เช่นกันว่าจะแทรกสิทธิพิเศษเพิ่มเพื่อทำให้บัตรอีลิทคาร์ด “Stay Fresh, Stay Young” ตลอดเวลา
ส่วนประเภทบัตรขายดีที่สุดในปัจจุบันคือ อันดับ 1 คือ อีลิท อีซี่ แอคเซส ระยะเวลา 5 ปี ราคา 5 แสนบาท และน่าจะขายดีต่อเนื่องในปีงบฯ นี้ รองลงมาเป็น อีลิท ซูพีเรียริตี้ เอ็กซ์เทนชั่น ระยะเวลา 20 ปี ราคา 1 ล้านบาท และอีลิท แฟมิลี่ เอ็กซ์เคอร์ชั่น ระยะเวลา 5 ปี ราคา 8 แสนบาท สำหรับ 2 ท่าน
สำหรับทิศทางการขาย บริษัทฯจะมุ่งขายบัตรอีลิทคาร์ดที่มีอายุมากกว่า5ปีขึ้นไป เพื่อดึงชาวต่างชาติที่สนใจเข้ามาอยู่ในไทยนานขึ้น ใช้จ่ายในไทยมากขึ้น ทั้งด้านการท่องเที่ยวและใช้จ่ายผ่านบริการต่างๆ อย่างกอล์ฟ สปา และอื่นๆ พร้อมทำการตลาดดิจิทัลเชิงรุกให้ชาวต่างชาติรู้จักบริการของบัตรอีลิทคาร์ดเพื่อเพิ่มสัมฤทธิ์ผลทางการขายมากขึ้น และทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ตม., บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท., สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ และกระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งนี้คาดด้วยว่าแนวโน้มชาวต่างชาติที่มาซื้อบัตรจะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยปัจจุบันลูกค้ากลุ่มอายุ 30-50 ปี มีสัดส่วน 65% ของสมาชิกทั้งหมด รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปสัดส่วน 25% ขณะที่กลุ่มอายุ 20-30 ปี แม้จะมีแค่ 10% ในปัจจุบัน แต่ก็เห็นเทรนด์ว่าสนใจมาใช้ชีวิตในเมืองไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกรุงเทพฯซึ่งต้องการให้เป็นบ้านหลังที่ 2 เพราะมีไลฟ์สไตล์ตอบโจทย์ทั้งเรื่องช้อปปิ้งและไนท์ไลฟ์
“บริษัทฯ ตั้งเป้าสร้างการเติบโตของยอดขายบัตรอีลิทคาร์ดที่ 15% ต่อปี สานเป้าหมายการล้างขาดทุนสะสม 518 ล้านบาทให้หมดภายในปีงบฯ 2566 ตามแผนงานระยะกลาง”
ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุน และปรับเปลี่ยนการบริหารกระแสเงินสดที่มีอยู่ปัจจุบันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดอกเบี้ยต่ำ ด้วยการแบ่งไปลงทุนในรูปแบบกองทุนความเสี่ยงต่ำเพื่อสร้างผลตอบแทน จากก่อนหน้านี้นำเงินไปฝากในธนาคารอย่างเดียว หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติล่าสุด ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1% ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์