'ร้อยตรี' ร้องทุกข์! แฉแหลก 'สิบเอก' กรมดังหลอกขายบ้าน ชี้ตกเป็นเหยื่ออื้อ
เดือดร้อนถูกหักเงินเดือนไปแล้ว 5 แสน! ทหารยศ "ร้อยตรี" ร้องทุกข์! แฉแหลกถูก "สิบเอก" กรมดัง หลอกขายบ้าน ในที่ป่าสงวน เผยมีทหาร-ชาวบ้านตกเป็นเหยื่ออื้อ บนเนื้อที่กว่า 200 ไร่
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชกรรม พร้อมด้วย นายทหารชั้นผู้น้อย 2 นาย ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ผบก.ปทส. เพื่อให้ดำเนินคดีกับขบวนการหลอกขายที่ดินป่าสงวน หลังจากถูกหลอกขายบ้านพร้อมที่ดินที่เป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จ.กำแพงเพชร สร้างความเสียหายคนละ 1.5 ล้านบาท โดยนำเอกสารพยานหลักฐานเป็นสำเนาการซื้อขายที่ดินหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร มาให้พนักงานสอบสวนเพื่อเป็นหลักฐาน
นายอัจริยะ เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงดังกล่าว ก่อนหน้านี้มีธนาคารแห่งหนึ่งเป็นผู้ครอบครอง ซึ่งรับจำนองมา กระทั่งมีการเปลี่ยนมือไปมา จนที่ดินแปลงดังกล่าวมาตกอยู่กับทหารยศสิบเอกนายหนึ่ง ก่อนจะมีการขายให้กับผู้เสียหาย ซึ่งเป็นทหารยศร้อยตรี โดยบ้านหลังดังกล่าวจดจำนองไว้ที่ 3 แสนบาท แต่กรมสวัสดิการทหารบกได้ให้คนประเมินโดยราคาที่ระบุไว้ 3 แสน แต่ว่าราคาเงินกู้คือหลังละ 1.5 ล้านบาท ซึ่งจะมีเงินทอน 2 แสนบาท จากนั้นได้มีการขอเช่าบ้านจากเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการทหารบก 100 เดือน ค่าเช่า 2 แสนบาท ซึ่งก็คือเงินทอน
ต่อมาผู้เสียหายได้ไปดูสภาพบ้านตนเอง ก็พบว่าบ้านตัวอย่างที่คนขายให้ดูนั้นต่างจากบ้านที่ซื้อมาก เหมือนเป็นการเอาบ้านมือ 2 มาย้อมแมวขาย ด้วยความสงสัยจึงตรวจสอบกับกรมที่ดิน และกรมป่าไม้ ก็พบว่าที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากถูกหักเงินจากกรมสวัสดิการทหารบก เพื่อเป็นค่าผ่อนชำระบ้านทุกเดือน แต่กลับโอนที่ดินไม่ได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่าสงวน อีกทั้งกรมป่าไม้ ได้มีหนังสือออกมาแล้วว่า ให้ระงับการซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวเนื่องจากมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ
ทางด้านผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนายทหารยศร้อยตรี เล่าว่า เมื่อปี 2559 มีนายหน้าเป็นทหารยศ จ.อ. สังกัดกรมสวัสดิการทหารบก ได้ชักชวนให้ไปดูหมู่บ้าน เป็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านห่างจากตัวเมืองไป 8 กม. ซึ่งเมื่อดูแล้วตนก็สนใจ เพราะอยากจะมีบ้านไว้พักผ่อนหลังเกษียณ จึงตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน โดยให้ตนทำเรื่องกู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้านหลังนี้ ในราคา 1.5 ล้านบาท และมีนายหน้าจะขอเช่าต่อ 100 เดือน เป็นเงิน 210,000 บาท และในเงินกู้ 1.5 ล้านบาท ก็มีส่วนต่างที่เกิดจากการตกแต่งบ้านประมาณ 200,000 บาท จะเสนอให้กับตนเป็นข้อแลกเปลี่ยน จึงยอมทำสัญญาซื้อขาย และผ่อนชำระกับธนาคารแห่งหนึ่งมาระยะหนึ่ง
ต่อมาเมื่อเดือนประมาณเดือน มิ.ย. 2562 ตนได้ไปดูบ้านก็พบว่าเป็นบ้านที่ไปดูเป็นคนละหลังกับที่ทำสัญญาไว้ ซึ่งบ้านหลังที่ไปดูเป็นบ้านเลขที่ 107 ส่วนบ้านที่ทำสัญญาเป็นบ้านเลขที่ 101 ซึ่งสภาพบ้านทรุดโทรมเหมือนบ้านร้าง ตนจึงรีบติดต่อไปยังนายหน้า ก็บ่ายเบี่ยงและอ้างว่า จะดำเนินการปรับปรุงให้แต่ก็หายไป จึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พรานกระต่าย ปรากฎว่า ตำรวจในพื้นที่ บอกว่า ที่ดินดังกล่าวเคยมีการร้องเรียนเมื่อปี 2558 ว่า ปลูกสร้างในพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมบังคับคดี และตำรวจในพื้นที่ก็ไม่ขอรับแจ้งความ
จึงพยายามรวบรวมข้อเท็จจริง จนได้ข้อมูลจากกรมป่าไม้ภาค 4 ยืนยันว่า เป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าสงวนจริง ส่วนนายหน้าที่แนะนำบ้านดังกล่าว กรมสวัสดิการทหารบก ตรวจสอบแล้ว ทำหนังสือตอบกลับเพียงว่า ยังไม่พบการกระทำผิด จึงตัดสินใจรวบรวมพยานหลักฐาน ร้องเรียนกับตำรวจ บก.ปทส. เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับนายทหารที่หลอกลวง ซึ่งทราบว่ายังมีเพื่อนทหารอีกหลายนาย ที่ตกเป็นเหยื่อ เพราะที่ดินของตนแค่ 30 ตารางวา แต่พื้นที่ในหมู่บ้านมีกว่า 209 แปลง หรือประมาณกว่า 200 ไร่ ทำให้ทั้งตนและเพื่อนทหารคนอื่นๆ ต้องแบกรับสภาพหนี้ และเสี่ยงต้องถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกป่าสงวนตามไปด้วย
อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังคงมีการก่อสร้างต่อเนื่อง และยังติดป้ายประกาศขาย ซึ่งทราบว่ามีประชาชนทั่วไป หลงเชื่อไปทำสัญญาเช่าซื้อบ้านในหมู่บ้านดังกล่าว ทั้งนี้ยืนยันว่าที่มาร้องเรียน ไม่ได้ต้องการให้เอาผิดกับผู้บังคับบัญชาของตนเอง แต่อยากให้มีการยกเลิกสัญญา ระงับการหักเงินเดือนตามที่ได้ยื่นกู้ เนื่องจากตนได้จ่ายเงินไปแล้วกว่า 500,000 บาท จึงมาดำเนินการตามสิทธิ์ที่ตนควรจะได้รับ อีกทั้งหากผ่อนชำระจนครบและมีชื่อเป็นผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวจะกลายเป็นว่าตนเองจะเป็นผู้บุกรุกป่าสงวน จึงออกมาเรียกร้องสิทธิ์เพื่อตัวเอง
ขณะที่ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ผบก.ปทส. กล่าวว่า กรณีนี้ต้องขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน เพราะที่ดินมีการเปลี่ยนมือหลายมือ ต้องใช้เวลาตรวจสอบหารือกับกรมป่าไม้ หากมีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว จะลงไปดำเนินการทันที หลังจากนี้จะสอบปากคำผู้เสียหาย และตรวจสอบเอกสารต่างๆ ที่เสนอมาก่อนว่า เข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายจริงหรือไม่ ต้องดำเนินคดีกับบุคคลใดบ้าง ซึ่งต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ส่วนเรื่องการขอระงับการหักเงินเดือน หรือขอให้ยกเงิกสัญญา เนื่องจากเป็นคดีทางแพ่ง จึงไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้ได้ ทุกอย่างมีหลักฐานปรากฏที่ธนาคาร และส่วนราชการ ซึ่งต้องตามไปตรวจสอบ ส่วนเรื่องที่ผู้เสียหายจะกลายเป็นผู้บุกรุกป่าหรือไม่ ตรงนี้หากมีหลักฐานเหล่านี้ครบ ก็ต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก